นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองปี 2563 ในกรณีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะเคลื่อนไหวลงถนนในเดือน ม.ค. นี้ ว่า เป็นเรื่องความเห็นต่าง แต่ขออย่าให้เป็นความแตกแยก ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์เหล่านี้ ในอดีตเคยมีมาแล้ว
ส่วนกรณีที่สำนักโพลต่างสำรวจความนิยมของประชาชนบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายธนาธร มาเป็นอันดับที่ 1 ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อันดับ 2
นายสมศักดิ์ มองว่า ไม่ใช่ขาลง ซึ่งต้องมองว่าเป็นโพลที่มาจากการไปถามกลุ่มเป้าหมายใด ครอบคลุมทุกพื้นที่หรือไม่ โดยอาจเข้าไปถามกลุ่มคนสนับสนุนนายธนาธร แต่ถ้าเป็นโพลจากสำนักสถิติแห่งชาติ ใช้ความเห็นคนหลักหมื่นคน ก็จะได้ผลอีกแบบ ดังนั้นความเห็นของคนแค่กลุ่มเดียวไม่ใช่จะมาวัดผลคนทั้งประเทศได้แล้ว
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ในเรื่องเศรษฐกิจนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่านายกฯ มีความสามารถนำพารัฐบาลผ่านไปได้ โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกฯ ได้สั่งเก็บข้อมูลหลายกระทรวงไปบูรณาการทำงาน โดยเฉพาะกับ คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ อีกทั้งตนมองว่าในช่วงรอยต่อที่รัฐบาลที่มีเสียงสภาปริ่มน้ำ ถือเป็นการเรียนรู้ต่อผู้บริหารเอง ดังนั้นจึงต้องพบปะกันบ่อยครั้ง เช่น ก่อนการมีญัตติสำคัญในสภาระหว่างผู้บริหาระดับสูงและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ส่วนปีหน้า (63) จะมีงูเห่าเพิ่มอีกหรือไม่ นายสมศักดิ์ มองว่า การมีรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำก็ต้องมีงูเห่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องคณิตศาสตร์ การที่มีบางรัฐมนตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจมีเพื่อนต่างพรรคมาช่วยก็ได้ อีกทั้งในอดีตก็มีเรื่องการขับ ส.ส.ออกจากพรรคเช่น ก็ทำให้ ส.ส.สามารถย้ายพรรคได้ จึงทำให้ รบ.เสียงปริ่มน้ำ เกิดความสมดุลขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้นายสมศักดิ์ กล่าวถึง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีการปรับ ครม.หรือไม่นั้น ว่า ตนไม่ทราบว่านายกฯ คิดอย่างไร แต่โดยประเพณีปฏิบัติก่อนและหลังผู้บริหารจะมองว่าอะไรเป็นจุดอ่อนหรือแข็งเพื่อเติมจุดที่ไม่มี โดยเฉพาะในสถานการณ์รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ สามารถมองไปได้หลายอย่าง
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการแก้ไข รธน. หลัง มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างเห็นด้วยในการตั้งกรรมาธิการชุดดังกล่าว แต่ระยะเวลาและประเด็นจะต้องให้กรรมาธิการเป็นผู้พิจารณาต่อไป ส่วนที่ฝ่ายรัฐบาลมีท่าทีต้องการแก้เพียงแก้รายมาตรา แต่ฝ่ายค้านต้องการแก้ทั้งฉบับและตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรนูญ (สสร.) ขึ้นมา นายสมศักดิ์ มองว่า เมื่อความต้องการไม่เหมือนกันก็ต้องใช้เวลา ตนมองว่าอาจต้องยอมเสียแขนขาเพื่อรักษาชีวิต โดยยอมเสียบางเรื่องเพื่อให้เรื่องใหญ่ผ่านไปได้ แต่ถ้าจะเอาทั้งหมดเลย ก็ต้องดูความแข็งแรงของตัวเอง หรือจะเอามันส์ พูดให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง เกิดความเสียหาย ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวโจมตีนายธนาธร ถึงลัทธิชังชาติ ว่า ขออย่าให้สื่อไปรับหรือขยายความให้เกิดเป็นความขัดแย้งเพราะที่ผ่านมา เพราะหากโต้กันไปมาก็ไม่ต่างอะไรกับความขัดแย้งในอดีตที่ไม่มีวันจบ ซึ่งตนอยากให้ความเห็นต่างเป็นเรื่องของนักวิชาการ และตนมองว่าการตั้งม็อบจะเกิดความเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติ
อย่างไรก็ตามนายสมศักดิ์ เชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ประเทศ รวมทั้งการมองของนายกฯ เองด้วย ซึ่งที่ในอดีตก็มีเหตุการณ์มาแล้ว เช่น ยุบสภาเพื่อให้มีเลือกตั้งในช่วงที่เชื่อว่าตัวเองได้คะแนนเสียงอยู่ และด้านก็ต้องมองว่าจะได้รับประโยชน์หรือไม่ถ้ามีการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งบ่อยครั้งอาจทำให้บอบช้ำได้ และเลือกตั้งไปแล้วอาจไม่มีประโยชน์เพราะยังมี ส.ว.อยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง