ไม่พบผลการค้นหา
ใครที่พอจะคุ้นกับหลักพื้นฐานของสังคมนิยมอยู่บ้างก็คงจะพอรู้กันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ระดับแนวหน้าส่วนใหญ่ของโลกนั้นไม่ส่งเสริมให้ประชาชนโดยเฉพาะที่เป็นสมาชิกพรรคนับถือศาสนา

คาร์ล มาร์กซ์ ผู้เป็นเสมือนศาสดาแห่งสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ก็เคยเขียนไว้เองประมาณว่า ศาสนาเป็นเครื่องมอมเมามวลชน (ถ้าจะแปลให้ตรงตัวน่าจะประมาณ “ศาสนาเป็นอนุพันธ์ของฝิ่นสำหรับประชาชน” ซึ่งฟังดูรุงรังมากในภาษาไทย) ดังนั้นข่าวที่ออกมาเมื่อวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานี้ว่าทางการจีนได้ทำการกวาดล้างจับกุมศาสนิกชนชาวคริสเตียนนิกายหนึ่งในมณฑลเสฉวนไปกว่าร้อยคนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่าไรนัก ประกอบกับข่าวการจับชาวอุยกูร์มุสลิมไปเข้าสถานกักกันซึ่งมีการข่มเหงบังคับให้ละทิ้งศรัทธาในศาสนาอิสลามด้วยวิธีการต่างๆ นานา  ไปจนถึงการกวาดล้างลัทธิฝ่าหลุนกงอย่างหนักในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ใครแปลกใจหรือดราม่าอะไรกันใหญ่โตในเมื่อคอมมิวนิสต์ก็ต้องไม่เอาศาสนาอยู่แล้วจะอะไรกันหนักหนา ?

แต่ก็ตามประสาเรื่องจีนๆ แทบจะทุกเรื่องในศตวรรษนี้นั่นแหละ พอลงไปดูใกล้ๆ จริงๆ ก็จะเห็นว่ามันก็ไม่ใช่จะอธิบายและเข้าใจได้ง่ายๆ แค่เพียงเพราะว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนทุกวันนี้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลที่อ้างตัวว่าสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น ดูนักท่องเที่ยวจีนที่มาเมืองไทยสิแห่กันไปเข้าวัดเต็มไปหมด แล้วยังชอบอะไรทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ทั้งพุทธ ทั้งฮินดู ทั้งไสยศาสตร์ ดูแค่ตอนมีระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณสิ ทั้งผู้บาดเจ็บผู้เสียชีวิตมากที่สุดก็คือชาวจีนทั้งนั้น ไหนจะเห่อเรื่องสักยันต์ คุณไสย ไหว้เจ้า ขอหวย ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ ค่ะ

สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ประเทศนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนเองก็ดูจะสนับสนุนการสร้างเครือข่ายทางศาสนาในหลากหลายแง่มุมและแนวทางด้วยซ้ำไป ทั้งสนับสนุนการประชุมวิชาการด้านพุทธศาสนาในระดับนานาชาติ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการศึกษาจีนในฐานะส่วนสำคัญในเส้นทางการเผยแผ่พุทธศาสนาในทวีปเอเชียผ่านทางเส้นทางสายไหมและการเดินทางเพื่อศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาระหว่างจีนกับอินเดียจากวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว เป็นอาทิ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงวัดเส้าหลินที่มีจริงในประวัติศาสตร์และได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจีน ณ ปัจจุบันนี้ด้วย ตกลงว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนจะเอาหรือไม่เอาศาสนากันแน่ ?

ถ้าจะเริ่มอธิบายโดยพื้นฐานเบื้องต้นที่สุดก็ต้องบอกว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหลังจากเติ้งเสี่ยวผิงประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 หลังสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมและหลังอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตงนั่นแหละ นอกจากจะอนุญาตให้แมวสีใดๆ ก็ตามถ้าจับหนูได้ให้นับว่าเป็นแมวที่ดีแล้ว ก็ยังปรับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของจีนให้เปิดรับตลาดโลกอีกต่างหาก และพร้อมกันนั้นก็ได้ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกรับอะไรอีกหลายๆ อย่างมาจากสังคมทุนนิยมและระบบตลาดโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร (ที่รับอย่างมีการควบคุมโดยรัฐ) เงินลงทุน ตลอดจนความเชื่อส่วนบุคคลและประเพณีปฏิบัติทางศาสนาที่ไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐและการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในยุคปฏิรูปอีกด้วย

สรุปง่ายๆ ก็คือจีนในยุคหลังเหมาอนุญาตให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาได้มากกว่าในยุคเหมา แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควรในฐานะที่รัฐบาลผู้ปกครองประเทศยังได้ชื่อว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ กล่าวคือ รัฐจะพิทักษ์เสรีภาพของประชาชนในการนับถือและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 5 กลุ่มศาสนาซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐและมีองค์กรเป็นตัวแทนในการต่อรองและทำงานร่วมกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ได้แก่ พุทธ เต๋า อิสลาม โรมันคาธอลิก และคริสเตียน (โปรแตสแตนท์)

แต่ในการนับถือศาสนาเหล่านี้ถ้าจะทำให้ถูกกฎหมายก็ต้องยินยอมรับเงื่อนไขเรื่องเอกราชและอธิปไตยของรัฐชาติจีนร่วมด้วย เช่น คาธอลิกชาวจีนไม่อาจนับถือสันตปาปาเป็นประมุขแห่งศาสนจักรได้เพราะสันตปาปาเป็นประมุขแห่งรัฐวาติกันซึ่งเป็นรัฐต่างชาติและการจะมีอำนาจเหนือศาสนิกชนชาวจีนก็ถือเป็นสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ดังนั้นรัฐบาลจีนไม่ยินยอมรับการแต่งตั้งบิชอปจากสันตปาปาให้มาดำรงตำแหน่งในประเทศจีน บิชอปในจีนต้องได้รับการรับรองและแต่งตั้งจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับชาวพุทธในจีนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้บูชาองค์ทไลลามะเป็นประมุขแห่งพุทธจักรหรือรัฐชาติทิเบตเหมือนกัน

และแม้กระนั้นรัฐบาลจีนก็ไม่ถึงกับส่งเสริมการนับถือศาสนาของประชาชนแต่ประการใด จุดยืนของพรรคยังคงเห็นว่าศาสนาเป็นเรื่อง “งมงาย” และการประกาศไม่นับถือศาสนาก็ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะฐานรากทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งความชอบธรรมของการเป็นรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือการมีเป้าหมายสำคัญเพียงหนึ่งเดียวคือเอาชนะการต่อสู้แห่งชนชั้นและมีพันธมิตรที่สำคัญที่สุดคือมวลชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากอำนาจทุน ศักดินา และศาสนามายาวนานจวบจนชัยชนะแห่งการปฏิวัติสังคมนิยมนั่นเอง 

ในกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีปัจจัยทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้รัฐต้องระแวดระวังหรืออาจจะถึงขั้นหวาดระแวงองค์กรทางศาสนาอยู่อย่างต่อเนื่องก็คือแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ที่การเคลื่อนไหวทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อทางจิตวิญญาณต่างๆ จะนำไปสู่การโค่นล้มผู้มีอำนาจและสถาปนาระบอบใหม่ได้หลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ยุคราชวงศ์ ผู้ที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์จีนยุคราชวงศ์อยู่บ้างก็จะคุ้นเคยกับชื่อกบฏสำคัญๆ อย่าง กบฏบัวขาวซึ่งตั้งชื่อตามพระสูตรในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานความเชื่อและความศรัทธาของกลุ่มชาวนาผู้นำกบฏดังกล่าว หรือกบฏไท้ผิงซึ่งมีผู้นำที่เชื่อว่าตัวเองเป็นน้องชายพระเยซูกลับชาติมาเกิด หรือไม่ต้องไปมองที่ใครอื่นไกลเลยการปฏิวัติวัฒนธรรมของชนชั้นกรรมาชีพอันยิ่งใหญ่ซึ่งสร้างความสับสนอลหม่านและเสียหายร้ายแรงกับประเทศจีนอยู่เกือบหนึ่งทศวรรษเต็มๆ

ในบั้นปลายชีวิตของประธานเหมานั้นก็มีลักษณะเหมือนการเคลื่อนไหวทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการบูชาตัวบุคคลของเหมาราวกับเป็นเทพเจ้า หรือการยึดมั่นในหลักคำสอนของเหมาในสรรนิพนธ์เหมาเล่มเล็กสีแดงราวกับเป็นคัมภีร์แห่งสัจจธรรม ตลอดจนการก่อความรุนแรงเข่นฆ่าทำลายล้างโดยอ้างความชอบธรรมจากผู้ที่หมู่บรรดาชาวเรดการ์ดมองว่าเป็นศาสดาก็คือเหมานั่นเอง

ในยุคที่ประชาชนไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้ต่อรองเชิงอำนาจกับรัฐบาลได้เลย ไม่ว่าจะอาวุธยุทโธปกรณ์ในทางการเมือง หรือปัจจัยการผลิตในทางเศรษฐศาสตร์ ก็มีแต่ความเชื่อทางศาสนานี่แหละที่มีพลังเหนือตรรกะและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทั้งมวล มีแต่คนที่เชื่อในพระเจ้า ในนรกสวรรค์ และในชีวิตหลังความตายเท่านั้นแหละที่จะยอมเป็นมือระเบิดพลีชีพได้ ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงข้อนี้ดีไปกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ก็เคยได้ขับเคลื่อนมวลชนผู้ยากเข็ญจำนวนมากมายมหาศาลให้พลีชีพต่อสู้กับรัฐบาลนายทุนศักดินาของพรรคก๊กมินตั๋งที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาจนสามารถสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนได้สำเร็จจากพลังศรัทธาในลัทธิเหมาอิสม์นี้เอง

ดังนั้นหากจะมีผู้นำลัทธิความเชื่อใดหาญกล้าออกมาประกาศว่ามีสมาชิกผู้เลื่อมใสศรัทธาในลัทธิของตนมากกว่าจำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนดังที่ผู้ก่อตั้งลัทธิฝ่าหลุนกงได้เคยกล้าประกาศไว้เมื่อปลายศตวรรษที่แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลัทธิความเชื่อของเขาจะต้องถูกกวาดล้างอย่างรุนแรงแบบถึงรากถึงโคนแล้วยังตามไปราวีต่อถึงในต่างประเทศอีกต่างหาก

เพราะคนที่มีความเชื่อทางศาสนาอาจจะต้องแบ่งความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลคอมมิวนิสต์ไปให้แก่ความเชื่อและผู้นำทางศาสนาของเขา ยิ่งถ้ากลุ่มศาสนิกชนนั้นๆ มีแนวคิดที่ต่อต้านนโยบายของรัฐบาลหรือมีแนวโน้มอยากแยกตัวเป็นอิสระจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวพุทธในทิเบต หรือชาวมุสลิมในซินเจียง ก็ย่อมต้องประสบกับการปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนทั้งสิ้น ท้ายที่สุดแล้วเรื่องศาสนากับพรรคคอมมิวนิสต์จีนควรจะนับว่าเป็นเรื่องของการรักษาความมั่นคงทางอำนาจของรัฐบาลเผด็จการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่าเรื่องของหลักการสังคมนิยมจำพวกที่อ้างมาร์กซ์มาเสนอไว้สวยๆ ในย่อหน้าแรกของบทความนี้... เพราะจริงๆ แล้วจีนไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์มานานแล้วนะ... รู้ยัง?

“อย่าบอกโรซี่”
คนทำงานวิชาการด้านประวัติศาสตร์จีน และจับตามองความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทย และประเทศใหญ่น้อย
0Article
0Video
0Blog