ไม่พบผลการค้นหา
งานวิจัยฝรั่งเศส เผยว่าการทำงานเกิน 10 ชั่วโมง มากกว่า 50 วันต่อปี เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น

ในงานวิจัยฝรั่งเศสซึ่งตีพิมพ์ในสโตรก (Stroke) วารสารการแพทย์ของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ชี้ว่าผู้ที่ทำงานนาน 10 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลามากกว่า 50 วันต่อปี เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรกเพิ่มขึ้นถึง 29 เปอร์เซ็นต์

สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมทำงานนานเช่นนี้สะสมถึง 10 ปี จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก โดยมีความเสี่ยงสูงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

การวิจัยครั้งนี้ศึกษาข้อมูลจากฐานข้อมูล CONSTANCES (Cohorte des Consultants des Centres d'Examens de Santé) ซึ่งรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพของชาวฝรั่งเศสเป็นหลักไว้ ทั้งอายุ เพศ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และชั่วโมงการทำงาน โดยมีข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 143,592 ราย แต่เก็บข้อมูลปัจจัยเสี่ยงและประวัติการมีโรคหัวใจและหลอดเลือกจากการสัมภาษณ์แยก

ผู้วิจัยนิยาม ‘การทำงานนาน’ ว่าหมายถึงผู้ที่ทำงานเกิน 10 ชั่วโมงต่อวัน รวมกันแล้วมากกว่า 50 วันต่อปี

ทีมผู้วิจัยพบว่า มีผู้ให้ข้อมูล 1,224 ราย ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โดย 29 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด หรือคิดเป็น 42,542 คน ให้ข้อมูลว่าทำงานนานกว่าสิบชั่วโมง 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 14,481 คน ให้ข้อมูลว่าทำงานเป็นเวลานาน ติดต่อกันถึง 10 ปี

งานวิจัยยังพบจากข้อมูลเดียวกันอีกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ 'ทำงานนาน' นั้น มีความเสี่ยงจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นถึง 29 เปอร์เซ็นต์ และผู้ที่ 'ทำงานนาน' ติดต่อกันถึง 10 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ ผู้ที่ทำงานพาร์ตไทม์และผู้ที่ป่วยเป็นสโตรกก่อนเริ่มมีพฤติกรรมทำงานนาน ไม่ถูกนับในการวิจัยนี้

ดร. อเล็กซิส เดกาธา นักวิจัยจากโรงพยาบาลกรุงปารีส มหาวิทยาลัยแวร์ซาย แซงต์ กงแตง ออง อีฟว์ลิน มหาวิทยาลัยแองเกอร์ส และสถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้นำวิจัยกล่าวว่า ความเชื่อมโยงระหว่างโรคหลอดเลือดสมองกับ 'การทำงานนาน' นานเกิน 10 ปี มีผลมากขึ้นสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยชี้ว่าผลการวิจัยนี้ผิดความคาดหมาย และจำเป็นต้องมีการวิจัยขยายผลการวิจัยนี้เพิ่มเติม และผู้วิจัยยังระบุว่างานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า 'การทำงานนาน' มีกระทบน้อยลงในหมู่เจ้าของธุรกิจ ซีอีโอ เกษตรกร นักวิจัย และผู้จัดการ โดยคาดว่าอาจเป็นเพราะคนในกลุ่มนี้โดยทั่วไปแล้วต้องใช้กระบวนการการคิดตัดสินใจมากกว่าผู้ทำอาชีพอื่นๆ และทั้ง

ที่มา: Science Daily / BBC / The Independent