มิค – บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ นักแสดงชื่อดังวัย 41 ปี เข้าแจ้งความบันทึกประจำวันที่ สน.พหลโยธิน วันนี้ (19 พ.ย.) หลังถูกลูกค้าอ้างว่าเป็นคนของกระทรวงแรงงาน สั่งปูไข่ดองและข้าวกล่อง หลายร้อยกล่อง เนื่องจากมีงานจัดเลี้ยง แต่เมื่อไปถึงหน้างานกลับพบว่าไม่มีงานเลี้ยง และผู้ที่สั่งนั้นเคยทำงานที่กระทรวงแรงงานจริง แต่ลาออกไปแล้ว ซึ่งคนที่กระทรวงดังกล่าวแจ้งว่า ไม่มีใครสั่งและไม่มีงานเลี้ยงใดๆ ภายหลังผู้ที่เป็นคนสั่งติดต่อไม่ได้
โดยมิค เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 พ.ย.) เวลาประมาณเที่ยง มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกตัวเองว่า 'ป้าปุ๊ก' โทรมาหาที่เบอร์ร้าน 'ปูไข่เยิ้ม By Mick' ที่ตนเป็นเจ้าของ ซึ่งผู้จัดการเป็นคนรับสาย และรับออร์เดอร์ไว้ ซึ่งแจ้งว่าวันจันทร์กระทรวงแรงงานมีงานเลี้ยง ให้ทำปูดองไซส์แอล 100 กล่อง ข้าวผัดปู ข้าวผัดกุ้ง กระเพรากุ้งแชบ๊วย รวม 200 กว่ากล่อง ให้ทำเพื่อให้ไปส่งให้ทันก่อนมื้อเที่ยง ซึ่งผู้สั่งแจ้งว่าอยากให้ของมาถึงก่อน 10 โมง ของวันจันทร์ (18 พ.ย.)
เมื่อได้รับออร์เดอร์ดังกล่าว ทางพนักงานร้านจึงต้องเตรียมตัวทำออร์เดอร์กันตั้งแต่ตีสี่ของวันจันทร์ เพราะของที่ร้านจะทำสดใหม่ตลอด ลูกน้องทุกคนจึงต้องหาที่นอนใกล้ๆ ที่ผลิตในคืนวันอาทิตย์ และตื่นตี 4 จนทุกคนมาช่วยกันทำเพื่อให้ออร์เดอร์นี้สำเร็จ
มิค บอกว่า ปกติแล้วทางร้านจะให้ลูกค้าที่สั่งอาหารโอนเงิน หรือจ่ายเงินมัดจำก่อนถึงจะเริ่มผลิต แต่กรณีดังกล่าวลูกน้องที่เป็นผู้จัดการร้าน ไม่สามารถติดต่อมิคได้ เนื่องจากเจ้าตัวทำงานอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จึงตัดสินใจทำรายการสั่งดังกล่าวโดยไม่ได้เก็บเงินมัดจำ เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้มิคเคยทำงานร่วมกับราชการหรือกระทรวงต่างๆ มาอยู่บ่อยๆ รวมถึงบุคคลที่ชื่อ 'ป้าปุ๊ก' พูดจาน่าเชื่อถือมาก ราวกับว่ารู้จักกับมิค แล้วเหมือนกับว่ามิครับรู้เกี่ยวกับออร์เดอร์นี้แล้วด้วย
หลังจากนั้นเรื่องราวเริ่มเปิดเผยออกมาเมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ต้องไปส่งของ ผู้จัดการร้านได้โทรไปหา ผู้รับ ซึ่งป้าปุ๊กได้ให้ชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ แต่พอโทรไปหาผู้รับที่กระทรวงแรงงาน ปรากฎว่า ผู้รับมีอยู่จริง ชื่อที่ให้ไว้ก็จริง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก เขาบอกกับทางผู้จัดการว่า "ขอโทษนะคะน้อง ทางกระทรวงแรงงานวันนี้ไม่ได้มีงานจัดเลี้ยงอะไร แล้วเราไม่ได้สั่งด้วยค่ะ" หลังจากนั้นผู้จัดการได้โทรหามิค บอกว่าน่าจะเกิดเรื่องแล้ว มิคจึงแนะนำให้ผู้จัดการร้านติดต่อไปยังป้าปุ๊ก ซึ่งเป็นคนสั่ง และมิคยังได้สอบถามกับผู้จัดการร้านไปว่า ออเดอร์ดังกล่าวนี้ได้วางมัดจำไว้หรือไม่ ซึ่งผู้จัดการบอกว่า ป้าปุ๊กอ้างว่าออเดอร์นี้สั่งในวันอาทิตย์หน่วยงานราชการไม่สามารถเบิกเงินมาได้ ซึ่งตนไม่เชื่อเพราะหากจะมีการสั่งอาหารในงานจัดเลี้ยงต้องมีการเบิกเงินอย่างเป็นระบบไว้แล้ว
ซึ่งหลังจากนั้นทางผู้จัดการก็ได้ติดต่อป้าปุ๊ก และป้าปุ๊กได้บอกอีกว่า "ไปส่งที่เขานั่นแหละถูกต้องแล้ว เงินอยู่ที่เขาหมดแล้ว เอาไปให้ตั้งแต่เมื่อวาน" ผู้จัดการร้านได้ติดต่อไปที่กระทรวงแรงงานอีกครั้ง ซึ่งคนที่กระทรวงแรงงานก็ให้ความร่วมมือ ช่วยค้นหา ชื่อ-นามสกุล ของบุคคลที่สั่ง และช่วยเช็คว่าผู้สั่งเป็นคนของกระทรวงแรงงานจริงหรือเปล่า ซึ่งสรุปว่า บุคคลที่อ้างว่าเป็น 'ป้าปุ๊ก' เคยทำงานอยู่ที่กระทรวงแรงงาน แต่ได้ลาออกไปแล้ว
ทางร้านจึงติดต่อป้าปุ๊กกลับไปอีกครั้ง และคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตัดสินใจว่าจะเอาออเดอร์ไปส่งที่ป้าปุ๊ก และป้าปุ๊กก็ยังยืนยันว่าทางนั้นมีงานจริงๆ พอสุดท้ายพนักงานยืนยันว่าจะเอาของไปส่งที่ป้าปุ๊กให้ได้ ก็ตัดสายทิ้งและยังติดต่อไม่ได้จนถึงปัจจุบันนี้
โดยวันนี้ดาราหนุ่มได้เดินทางมาลงบันทึกประจำวัน และรอปรึกษากับตำรวจว่าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง กับความเสียหายหลักแสนที่โดนไป แต่เบื้องต้นได้ไปย้อนคิดถึงคดีสมัยก่อนที่มีคนโดนโกงข้าวกล่อง ซึ่งถ้าผู้รับยังไม่ได้รับของ ก็เหมือนกับว่าเป็นคดีแพ่งเฉยๆ ไม่ใช่คดีอาญา จึงยังไม่ทราบว่าจะสามารถดำเนินคดีบุคคลคนนี้ได้ขนาดไหนจึงมาปรึกษาผู้ที่รู้ดีที่สุด คือตำรวจ
มิค กล่าวว่า มีความกังวลว่าคนร้ายจะลอยนวล และกังวลว่าเคสแบบนี้จะลอยนวล ถ้าเกิดเป็นอย่างที่เคยทำการบ้านมาเรื่องข่าว ก็กลายเป็นว่า เมื่อลงบันทึกประจำวันได้ ก็ต้องเอาใบลงบันทึกประจำวันไปฟ้องศาลเอง โดยที่ต้องไปสืบบุคคลคนนั้นเอง ซึ่งมิคบอกว่า อาจจะมีความเสี่ยงกับทุกคนที่โดน เพราะว่าถ้าเกิดไปสืบแล้ว ถ้าเกิดเขาเป็นนักเลงขึ้นมาจริงๆ แล้วโดนทำร้ายขึ้นมา มันก็ต้องคิดกันต่อว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มก็ต้องลองดู แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลที่อ้างว่าเป็นป้าปุ๊ก ที่โทรเข้ามา ซึ่งคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะช่วยเช็คจากการลงทะเทียนเบอร์โทรศัพท์ได้
ส่วนตัวคิดว่าอาจจะเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งจากคู่แข่งปูดอง เพราะธุรกิจของมิคเองถือเป็นปูดองเจ้าแรกๆ ในประเทศไทย ที่เรียกตัวปูเป็นไซส์เสื้อผ้า และเรียกว่าปูไข่เยิ้ม และส่งเดลิเวอร์ลี่ ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้มีอีกหลายๆ เจ้าตามมาในประเทศไทย ซึ่งคิดว่าคู่แข่งไม่น่าทำแบบนี้เพราะต่างคนก็ต่างทำมาหากิน เวลาไปจัดบู๊ทเจอกันทักทายกัน แล้วแต่ละคนก็ไม่สูตรไม่เหมือนกัน ปูที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะที่ร้านใช้ปูธรรมชาติ คนอื่นใช้ปูเลี้ยง และธุรกิจแบบนี้จะเน้นลูกค้าเดิมที่ติดใจรสชาติแล้วกลับมา ดังนั้นคิดว่าไม่ใช่การแย่งลูกค้ากัน
ส่วนการจัดการกับอาหารที่ไม่มีผู้รับนั้น มิคบอกว่า ได้เอาไปแจก และถวายเพลพระ เนื่องจากเมนูพวกข้าวผัด ต้องทำใหม่ทุกครั้ง ซึ่งหากนำไปส่งให้ลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำก็จะผิดสังเกต เนื่องจากข้าวไม่ร้อน จึงตัดสินใจนำของไปทำบุญ และแจกจ่ายคนแถวนั้นไปทั้งหมด ซึ่งปัญหาคือตัวปูดอง เพราะปกติจะมาแบบแช่แข็งในน้ำดอง ถ้าคนที่ชื่อป้าปุ๊กเขาไม่ได้สั่งว่าให้ทุบหั่นมาพร้อมทาน ตนก็สามารถเก็บเอามาขายได้ใหม่ ไม่เกิดความเสียหาย แต่ป้าปุ๊กสั่งให้ทุบหั่นพร้อมทาน จึงทำให้ไม่สามารถเก็บได้ และต้องแจกจ่ายเช่นกัน
นักแสดงเจ้าของร้านปูไข่เยิ้มยังบอกอีกว่า ได้ทำใจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และเสียดายเงินจำนวนนับแสน ต้องทำงานตั้งนานกว่าจะได้มา ซึ่งหลังจากนี้คงต้องมีมาตรการการรับออเดอร์ ไม่ว่ากรณีใดๆ อ้างชื่อใคร ออเดอร์ใหญ่แค่ไหน ก็ต้องมัดจำไว้ก่อน และถ้ายังไม่โอนเงินก็จะไม่เริ่มทำ แม้ก่อนหน้านี้ก็เจอบ่อยกรณีที่สั่งของแล้ว พอส่งช้าก็ไม่เอา เพราะว่าเราทำช้า เนื่องจากเราทำใหม่ทุกเมนู โดนแคนเซิลบ่อย แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุด
เรียกว่าเป็นบทเรียนแสนสาหัส อยากจะให้จับให้ได้ แล้วอยากจะถามว่า "ทำไปเพื่ออะไร" มันไม่มีใครได้ผลดีกับเหตุการณ์นี้เลย ทำทำไม มิคไปทำอะไรให้เขาเหรอ แต่ใจจริงทั้งหมดทั้งมวลผมก็ไม่รู้ว่าคดีมันจะไปได้ไกลขนาดไหน แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์มากกว่า ว่าสำหรับผู้ขาย ก็ควรจะให้ลูกค้ามัดจำหรือโอนเงินก่อน แล้วผู้ซื้อก็อย่าโกรธ เวลาที่ผู้ขายเขาขอให้โอนเงินก่อน เพราะว่ามันมีคนนิสัยไม่ดีที่ทำแบบนี้อยู่จริงๆ ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าบางทีทำแบบนี้มันปลอดภัยกว่าสำหรับทุกฝ่าย หรือหากไม่มั่นใจกันและกันก็ควรขอข้อมูลไว้เป็นหลักฐานไว้ก่อนล่วงหน้าดีกว่า
อยากบอกป้าปุ๊กว่า "ทำแบบนี้กับผมทำไม" อยากให้ป้าปุ๊กโทรมาหาผม
ทั้งนี้นักแสดงหนุ่ม ตั้งใจจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แม้ตอนแรกอยากให้เรื่องนี้เป็นเพียงแค่บทเรียนอัน ‘แสน’ สาหัส แต่เนื่องจากมีเพื่อนๆ และคนที่อยู่ในวงการการค้าขาย ออกมาเยอะเลยบอกว่าต้องลุยให้ถึงที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนี้กับคนอื่นหรือเปล่า และก็ควรจะกันไม่ให้เขาไปทำกับคนอื่น อาจจะมีคนอื่นโดน แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า และถ้าเกิดเราจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อหยุดการกระทำไม่ดีของคนคนหนึ่ง ที่กระทำกับบุคคลหลายๆ คนได้ ก็จะลองลุยให้ถึงที่สุดก่อน