นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเสียบบัตรแทนกันในการโหวตร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จะเป็นโมฆะหรือไม่ ว่า กรณีกรอบเวลา 105 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 143 เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมองว่าสาระสำคัญของทั้งสองคำร้องนั้น เกี่ยวกับการออกเสียงที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวมองว่า ในคำร้องนั้นไม่มีข้อความใดเลยที่ระบุว่า เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 นั้น หากศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้กฎหมายฉบับใดตกไป จะต้องมีประเด็นที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นสาระสำคัญ จึงเชื่อว่าทั้งสองคำร้องที่ถูกยื่นไป จะไม่ทำให้พ.ร.บ.งบประมาณตกไปอย่างแน่นอน
ส่วนการออกเสียงที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น นายไพบูลย์ เชื่อว่าศาลจะพิจารณาตามข้อกฎหมายได้เลย เพราะการกระทำที่เกิดปัญหาขึ้นมามีจำนวนเพียงเล็กน้อย ไม่มีผลที่จะเปลี่ยนแปลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 120 แม้ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ก็จะไม่มีผล ที่จะให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะต้องไปแก้ไขใหม่ เพราะมีเพียงไม่กี่เสียงเท่านั้น และเชื่อว่า จากการยื่นคำร้องไปนั้น เมื่อศาลได้รับวินิจฉัยแล้ว จะแล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 วัน และจะไม่มีผล กระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณอย่างที่เป็นห่วงกัน
ทั้งนี้ย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะต้องดูที่ขนาดของการกระทำ ซึ่งต้องมีความสมเหตุสมผลด้วย หากเกิดขึ้นเพียงส่วนเล็กๆ จะทำให้กระบวนการที่มี ส.ส. ส่วนใหญ่ยังดำเนินการได้อย่าง ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกประการ จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับบุคคลเหล่านี้ด้วย ส่วนใดที่เสียก็เสียไป แต่ส่วนไหนที่ไม่กระทบกับ สวนที่สุจริตหรือดำเนินการถูกต้อง ก็ต้องถือว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น ดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญ
ส่วนกลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน จะมีความผิดตามกฎหมายอาญาหรือไม่นั้น นายไพบูลย์ ระบุว่า ก็เป็นไปตามกระบวนการได้เลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :