อย่างไรก็ดี ข่าวลือดังกล่าวไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ได้ว่าเป็นความจริง ในทางตรงกันข้าม การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงกลางเดือน ต.ค. จะเป็นการปูทางไปสู่การดำรงตำแหน่งวาระที่ 3 ของสีค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ข่าวลือ “สีถูกรัฐประหาร” เริ่มถูกส่งต่อกันตามสื่อโหนกระแสหัวเล็กๆ ของอินเดีย ซึ่งอิงข้อมูลจากลัทธิทางศาสนาที่มีความขัดแย้งกันกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนที่ข่าวลือจะเริ่มถูกส่งต่อมายังสื่อของไทยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวลือดังว่าเสนอหลักฐานถึงการปราบปรามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากข้อหาการคอรัปชัน ตามมาด้วยข่าวปล่อยว่าสีเองก็ถูกจับกุมตัวเอาไว้อยู่ในบ้านของตน
กระแสข่าวลือดูเหมือนจะสอดคล้องกันไป หลังจากที่สัปดาห์ก่อน ศาลจีนได้สั่งจำคุก ซุนลี่จุน อดีตรองรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ฟูเจิ้งฮวา อดีตรัฐมนตรียุติธรรม และอดีตผู้บัญชาการตำรวจของเซี่ยงไฮ้ ฉงชิ่ง และซานซี ในข้อหาการทุจริต ทั้งนี้ ฟูและผู้บัญชาการตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มการเมืองรอบๆ อำนาจของซุน และไม่มี “ความจงรักภักดีต่อสี”
การปราบปราบสมาชิกพรรคระดับสูง เป็นส่วนหนึ่งของการกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาตลอดยุคสมัยของสี แต่การปราบปราบในครั้งนี้นับเป็นการกวาดล้าง “การทุจริต” ครั้งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนการเปิดการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่สำคัญที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ซึ่งจะเป็นการประชุมที่จะมีการสลับสับเปลี่ยนชนชั้นนำทางการเมืองของจีน ภายใต้พรรคเดียวอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน
มีการคาดการณ์ที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า สีกำลังจะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีต่อในวาระที่ 3 หลังจากสีเองลบล้างกฎว่าด้วยการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน ออกจากรัฐธรรมนูญของประเทศไปเมื่อปี 2561 พร้อมกันกับการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชันในประเทศอย่างหนัก ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการกำจัดศัตรูทางการเมืองของสี หรือเรียกให้เข้าใจอย่างง่ายๆ คือ การกำจัดเสี้ยนหนามทางอำนาจของสีเอง
เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ก.ย.) สื่อของรัฐบาลจีนได้เปิดเผยรายชื่อผู้แทนคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีจำนวนกว่า 2,300 คน ที่จะเดินทางมาร่วมการประชุม ผ่านการสรุปรายชื่อของทางพรรคออกมาเอง การประกาศรายชื่อดังกล่าว เป็นการหักล้างข่าวลือว่าจีนกำลังเกิดการรัฐประหารต่อสีขึ้น หลังจากที่ข่าวลือถูกตีกระพือกันมาตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข่าวที่ไม่มีมูลทั้งสิ้น
ยังมีการส่งต่อคลิปยานพาหนะทางทหารบนโลกโซเชียล พร้อมระบุว่าเป็นรถทหารที่เข้าทำการยึดอำนาจจากสี ตลอดจนการนำเสนอภาพการยกเลิกเที่ยวบินในประเทศจำนวนมาก ซึ่งถูกหักล้างลงโดยการประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ดับฝันไม่ให้ข่าวดังกล่าวขึ้นเป็นกระแสบนทวิตเตอร์ระดับโลก ยกเว้นในไทยกับอินเดีย
บนโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง Weibo ยังไม่มีกระแสการกล่าวถึงข่าวลือการรัฐประหารโดยตรง มีแต่เพียงแฮชแท็กเกี่ยวกับ “สนามบินทั่วประเทศยกเลิกเที่ยวบิน” ซึ่งมีคนเข้าดูอยู่ที่ประมาณ 200,000 คนในช่วงปลายสัปดาห์ กระแสข่าวลือการรัฐประหารในจีนกลับจุดไม่ติดขึ้นในจีนเสียเอง ชาวเน็ตหลายรายยังออกมาแสดงความคิดเห็นว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นเรื่องตลกขำขัน และยังไม่มีรถทหารหรือกำลังพลออกมาวิ่งกันอยู่บนถนนของกรุงปักกิ่งเลยแม้แต่น้อย
ดรูว์ ทอมป์สัน นักวิชการจาก Lee Kuan Yew School of Public Policy ระบุว่า กระแสข่าวลือเรื่องการรัฐประหารไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากการรัฐประหารในจีนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างสิ้นเชิง แม้จะมีรายงานว่าสีเคยมีความกังวลต่อโอกาสในการเกิดรัฐประหารในอดีต แต่ข่าวลือในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ “ความคิดแบบฝันหวาน” ของผู้ต่อต้านอำนาจของสีที่มีล้นฟ้าในจีน ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือการรัฐประหารดังกล่าว ถูกปล่อยออกมาจากลัทธิทางศาสนาอย่าง ‘ฝ่าหลุนกง’ ซึ่งทอมป์สันระบุว่า “โดยพื้นฐานแล้วไม่น่าเชื่อถือ”
“ข่าวลือที่ว่าสีจิ้นผิงถูกจับนั้นมีขาเดินได้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาทางการเมืองที่อ่อนไหวในประเทศจีน และการพิจารณาคดี (และการลงโทษ) ของเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ดำรงตำแหน่งมายาวนานเมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างบรรยากาศของห้องที่สุมไปด้วยความคิด” ทอมป์สันระบุบนทวิตเตอร์ ถึงข่าวลือดังกล่าวที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยสะท้อนความอ่อนไหวทางการเมืองจีนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้
ทอมป์สัน ซึ่งเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวกับ The Guardian ว่า สื่อของลัทธิฝ่าหลุนกงมักพูดเกินความเป็นจริง หรือมักเน้นย้ำถึงการต่อต้านสี และพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการรายงานของพวกเขา “ในกรณีนี้ สาระสำคัญ (ของข่าวลือ) เหล่านั้นที่พวกเขาเน้นและรายงานมาเป็นเวลานาน และจู่ๆ มันก็พุ่งเข้าไปเป็นข่าวกระแสหลักอย่างกะทันหัน” ทอมป์สันกล่าวเพื่อชี้ว่า ข่าวลือในลักษณะดังกล่าวมีมานานแล้ว
นักวิเคราะห์คนอื่นๆ เช่น บิลล์ บิชอป ผู้เขียน ‘Sinocism’ กล่าวว่า เขาคิดว่าข่าวลือนั้นเป็น “เรื่องตอหลดตอแหล” แต่เป็น “ความทึบแสงโดยธรรมชาติ” ของกลไกในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายข่าวปลอมได้ง่าย เนื่องจากสภาประชาชนแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีกระบวนการลับในการกระจายอำนาจ โดยตำแหน่งอาวุโสที่สุดจะไม่ประกาศจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย นอกจากนี้ การควบคุมของรัฐบาลในการเล่าเรื่องภายในประเทศ และการปราบปรามผู้เห็นต่างเอง ก็ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังการประชุมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
และสำหรับเหตุผลที่สีหายหน้าหายตาไปจากสาธารณะ เกิดขึ้นจากการที่สีเองเพิ่งเดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งจัดขึ้นที่อุซเบกิสถานเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้สีเองอาจจะต้องกักตัวตามมาตรการของรัฐบาลจีนอย่างเข้มงวด “ผมคิดว่าข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปจนถึงตอนนี้ และถือว่ามีความเป็นไปได้มากพอที่จะวิเคราะห์ได้ เป็นการสะท้อนถึงข้อบกพร่องเบื้องหลังการปกครองของจีนเอง” บิชอปกล่าว
“มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความคลุมเครือ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งระดับสูงของจีน ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จนถึงปี 2492 การสืบทอดตำแหน่งระหว่างผู้นำระดับสูงนั้นเต็มไปด้วยความลำบาก โดย หูจิ่นเทา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจที่ประสบความสำเร็จครั้งแรก โดยไม่มีใครถูกคุมขังหรือต้องเสียชีวิต… สีจิ้นผิงได้สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ทั้งหมดที่ไม่มีการระบุผู้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่ง หากไม่ได้วางแผนไว้หรือไม่สามารถควบคุมได้” บิชอประบุ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนไม่ได้ให้ความสนใจ หรือออกมาตอบสนองต่อข่าวลือดังกล่าว แต่หน่วยงานความมั่นคงสาธารณะเป็นหนึ่งในผู้โพสต์ชี้แจง ภายใต้แฮชแท็ก “ความจริงเกี่ยวกับการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากทั่วประเทศ” ซึ่งเป็นข้อมูลโต้แย้งของการยกเลิกเที่ยวบิน โดยทางการจีนกล่าวว่าการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากเป็นเรื่องปกติ สำหรับการควบคุมการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั้งนี้ ประเทศจีนยังคงยึดนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างรุนแรง ซึ่งนำมาสู่การล็อกดาวน์ปิดเมืองอย่างเข้มงวด ไม่เว้นแม้แต่การยกเลิกเที่ยวบินเช่นกัน
แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าข่าวลือก็คือ การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเริ่มในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ซึ่งจะจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของประชาชนในกรุงปักกิ่ง ที่จะปิดไม่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม แต่ในวันเดียวกันนี้เอง จะเป็นวันที่สำคัญที่สุดในวัฏจักรการเมือง 5 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีการคาดเดากันว่าสีจะสามารถรวบอำนาจเพิ่มเติม ด้วยการส่งเสริมพันธมิตรที่แข็งแกร่งของตนขึ้นสู่ตำแหน่งอาวุโส และพรรคจะรื้อฟื้นตำแหน่ง “ผู้นำประชาชน” ซึ่งไม่ได้ใช้ตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตงให้แก่สีอีกครั้ง
ที่มา: