นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส. อดีตสังกัดพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีเนื้อหา 4 ประเด็นหลักได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมุมมองกับการกระจายอำนาจว่าประเทศไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตให้กระจายอำนาจ ซึ่งอ้างอิงจากดัชนี LAI ชี้วัดในต่างประเทศที่มีการกระจายอำนาจ ทั้งที่มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทย แต่กลับมีพื้นฐานของประเทศดีกว่าไทยทั้งหมด ประเทศไทยมีคะแนน LAI 29.59 จาก 100 คะแนน ดังนั้น ความคิดที่ว่าประเทศไทยเล็กเกิยนกว่าการกระจายอำนาจไม่เป็นความจริง จากนั้น 5 ปีต่อมา
เมื่อมีการถามเรื่องการคืนอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ กลับตอบว่าแล้วคนไทยพร้อมแล้วหรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่าคนไทยพร้อมและมีศักยภาพ เช่น การจัดทำรถเมล์รางคู่ที่จังหวัดเลยที่ประชาชนศึกษาและจัดทำกันเองโดยไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ, กระบี่คัพ การแข่งขันฟุตบอลที่จัดโดย อบจ. กระบี่ อีกทั้งยังให้งบประมาณสนับสนุนไปยัง อบต. ต่างๆ ได้จากรายได้จากการแข่งขันฟุตบอล แต่กระนั้นก็ยังมีข้ออ้างจากนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมให้กระจายอำนาจว่า ท้องถิ่นมีการทุจริตคอร์รัปชั่น เนื่องจากจำนวนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีจำนวนมาก จะเหวี่ยงแหไปตรงไหนก็เจอ แต่ถ้านับความเสียหายโดยรวมมีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ของความเสียหายจากการทุจริตทั้งหมด
ต่อมา ตนชี้แจงให้ถึงนายกรัฐมนตรีมีความคิดไม่ถูกต้องเหมาะสมกับการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ตนยกตัวอย่าง ประเทศไทย ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย ซึ่งมีการกระจายอำนาจมาตลอด และประเทศไทยก็เริ่มการกระจายอำนาจมาตั้งแต่ปี 2552 แต่สะดุดลงในปี 2557 หลังรัฐประหารพลเอก ประยุทธ์ ออกประกาศ คำสั่ง และ ม.44 ทำลายการกระจายอำนาจ เช่น ประกาศ คสช. 85/2557 ที่ยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่น และให้สัดส่วน 2 ใน 3 ให้เป็นข้าราชการหรืออดีตข้าราชการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังประกาศให้กฎหมายต่างๆ ที่ป้องกันเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ให้ยกเลิก ทำให้ข้าราชการเข้าไปนั่งในตำแหน่งเหล่านี้ได้, ประกาศ คสช. 88/2557 แทรกแซงกระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนท้องถิ่น ให้ทหารเข้ามาเป็นกรรมการในการจัดทำงบประมาณท้องถิ่น และฝ่ายบริหารของท้องถิ่นก็ถูกควบคุมโดยผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าฯ มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบ
สุดท้ายทำให้สภาวการณ์ของท้องถิ่นไทยเริ่มมีปัญหา จนต้องใช้ ม.44 ที่มีเนื้อหาให้ต่ออายุสมาชิกสภาท้องถิ่นไปอย่างไม่มีกำหนดและถ้าหมดวาระการทำงานแล้วก็ยังให้กลับเข้ามาทำงานอีกได้ รวมๆ แล้วคำสั่งกว่า 20 ฉบับทำลายระบบการเลือกตั้งท้องถิ่น สั่งแขวน สั่งปลด ถูกคดีใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และก่อนที่จะส่งผ่านเข้าสู่รัฐบาลชุดปัจจุบัน มีการออกกฎหมายทิ้งทวนอีก 6 ฉบับ เช่น การองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานครและพัทยา จ.ชลบุรี ไม่ต้องมีผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมาจากการแต่งตั้งก็ได้
ความคิดแบบนี้ติดตัว พล.อ.ประยุทธ์ มา 2 สมัย เช่นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่น และ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบดีว่าการจัดเก็บภาษีที่ดิน ท้องถิ่นไม่มีศักยภาพ แต่กลับไม่ปรับลดรายได้ส่วนนั้นในงบประมาณ หรือต้องการจะรวมงบประมาณไว้ส่วนกลางให้มากกว่า
ข้อสุดท้าย คือ การพัฒนาจากการกระจายอำนาจ จากเดิมที่บอกว่าคนไทยก็คือคนไทย คนไทยยังไม่พร้อม แต่ถ้าเราไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ เราจะพัฒนาไปขนาดไหน เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่มีการกระจายอำนาจมาก่อนไทยแค่ 5 ปี ผ่านมา 26 ปี จากระบอบราชการรวมศูนย์ แต่ทุกวันนี้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศว่ามีการกระจายอำนาจ การบริหารจัดการท้องถิ่น และการจัดเก็บภาษีได้ดีที่สุดในโลก และการแบ่งโครงสร้างอำนาจรัฐที่ดี ทำให้ 60 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณอยู่กับท้องถิ่น ทำให้มีการจัดสวัสดิการ การรักษาความสะอาด การพัฒนาที่ดิน ฯลฯ ส่วนรัฐบาลก็มีเวลาไปดูแลเรื่องหนี้สาธารณะ และการเงินการคลัง ขณะเดียวกัน อินโดนีเซีย เริ่มต้นการกระจายอำนาจหลังไทย 2 ปี ทุกวันนี้กำลังจะแซงหน้าเราไปแล้ว Real GDP per capita จะเห็นว่า 10 จังหวัดที่จนที่สุดมีอัตราการเพิ่มขึ้นของความกินดีอยู่ดี 5.7 เปอร์เซ็นต์ และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ และสูงกว่าคนในจังหวัดที่รวยกว่า
ขณะเดียวกัน ประชาชนในจังหวัดที่รวยที่สุดของไทย มีอัตราการกินดีอยู่ดีเพียงแค่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ่งที่เราต้องการวันนี้คือรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ มีความรู้ ความสามารถ ในการบริหารประเทศ แต่ตนไม่เห็นคุณสมบัติเหล่านั้นในตัวของนายกรัฐมนตรี และอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ คือ พล.อ.ประยุทธ์
อ่านเพิ่มเติม