วันที่ 12 ม.ค. 2567 เวลา 14.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยรัฐมนตรี รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจเข้าร่วม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วม Video Conference
โดย นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2568 การใช้จ่ายในภาครัฐ จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจะต้องอาศัยการทำงานบูรณาการกันเป็นอย่างมาก และมีความเชื่อมโยงหลายส่วน ดังนั้น ในการจัดทำงบประมาณ ขอให้สำนักงบประมาณติดตามทั้งตัวชี้วันของหน่วยงาน และงบประมาณที่ขอไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และจะต้องตอบโจทย์รัฐบาล เพื่อให้การจัดทำงบประมาณตอบโจทย์ความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด และยังย้ำด้วยว่า นโยบายที่ดำเนินการภายในรัฐบาล จะต้องชัดเจน จับต้องได้ เพื่อให้ประชาชนสบายใจได้ว่า ภาษีประชาชน จะถูกใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประเทศ
ในการมอบนโยบายฯ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึง “นโยบายดิจิทัลวอลเลต” ที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล โดยยืนยันว่า รัฐบาลจะผลักดันให้สำเร็จ แม้ว่า ในขณะนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าออกพระราชบัญญัติกู้เงิน แต่ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ลืมที่จะต้องงบประมาณเผื่อไว้ ในกรณีที่ต้องใช้พัฒนา และดำเนินโครงการด้วย โดยขอให้ตั้งงบประมาณอย่างสมเหตุสมผล
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเป้าหมายแรงงาน โดยยืนยันว่า จะผลักดันนโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สำเร็จ 600 บาท, ปริญญาตรี 25,000 บาทภายในปี 2570 นี้ โดยในปี 2567 นี้ จะต้องทำค่าแรงขั้นต่ำให้มากกว่า 400 บาทให้ได้ พร้อมมั่นใจว่า ทิศทางนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชี้ จะทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน พร้อมกล่าวถึงเป้าหมายด้านการเกษตร ที่รัฐบาล ตั้งใจทำให้เกษตรกร มีรายได้สุทธิมากขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปีนี้
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำด้วยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางถนน ทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ พร้อมรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และ “โครงการแลนด์บริดจ์” เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อใช้จุดแข็งของภูมิศาสตร์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า และการคมนาคมที่สำคัญ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา โดยคาดว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างงานได้ 280,000 ตำแหน่ง และ GPD ประเทศ จะโตปีละ 5.5% จึงมั่นใจว่า โครงการนี้จะมีประโยชน์ต่อประเทศมหาศาล และขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันสนับสนุน และผลักดันไปด้วยกัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเป้าหมายความเป็นอยู่ของประชาชน โดยยืนยันว่า รัฐบาล จะทำนโยบายค่ารถโดยสารไฟฟ้าของประชาชน 20 บาทตลอดสายให้สำเร็จ และจะพัฒนาระบบฟีดเดอร์ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง และสีม่วงให้มากขึ้น พร้อมย้ำว่า รัฐบาล จะเดินหน้าทำส่วนอื่น ๆ ให้สำเร็จ เพื่อให้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเกิดขึ้นได้จริงสำหรับประชาชน
ส่วนเป้าหมายด้านกองทัพ และความมั่นคงนั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลจะพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพประเทศและประชาชน ทำทหารให้เป็น “ทหารอาชีพ” ลดกำลังพล และงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ เปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เป็นสมัครใจให้มีนัยยะ และทำให้ทหารใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น ช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น บรรเทาสาธารณภัย ความยากจน และที่ทำกิน
นายกรัฐมนตรี ย้ำยังเรื่องการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย โดยจะทำประชามติ เพื่อทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จ โดยไม่จัดชนวนความขัดแย้งใหม่ในสังคมให้ได้ เพื่อมุ่งหน้าทำให้ประเทศไทย มีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง