สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้เดินทางไปพบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร เพื่อมอบรถกลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท และยังได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเที่ยงกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. โดยภายหลังทานอาหารเสร็จ ชูวิทย์ ได้ออกมาแถลงข่าว ตั้งข้อสังเกตว่าคดีตู้ห่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่ ปปง.กลับเพิกเฉย ไม่ยอมตรวจสอบ บช.น.ส่งจดหมายสอบถามไป 2 ครั้ง ไม่ตอบกลับ ได้ตั้งข้อสังเกตต่อ อาจเป็นเพราะมีผู้บริหารระดับสูงใน ปปง. ตำแหน่งประธาน มียศ พล.ต.ต.สนิทสนมกับนายตู้ห่าวและนายหม่า เครือข่ายธุรกิจสีเทาหรือไม่ จึงไม่ออกมาร่วมตรวจสอบ ที่ผ่านมามีหลักฐานยืนยันว่าตู้ห่าวและหม่าเคยไปที่สำนักงาน ปปง.บ่อยครั้ง ขึ้นไปที่ชั้น 3 มีหลักฐานว่าทั้ง 2 ฝ่ายเคยรับประทานอาหาร ดื่มกินร่วมกัน และยังพบผู้บริหารระดับสูงคนนี้ร่ำรวยผิดปกติ เพราะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้ พร้อมยังระบุถึงหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. และตู้ห่าว
ล่าสุดวันที่ 19 ธ.ค. ชูวิทย์ ได้โพสต์ภาพหนังสือทางราชการลงบนเพจเฟซบุ๊กพร้อมข้อความระบุว่า “ประธาน ปปง. ลาออก ผมพาดพิงถึงประธาน ปปง. และทำให้ท่านตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ต้องยอมรับว่าเป็น “ลูกผู้ชาย” ชื่นชมความกล้าหาญในการตัดสินใจ เมื่อประชาชนไม่มีตำแหน่งแห่งหนอย่างผมพูด และท่านไม่ตอบโต้ ไม่ปฏิเสธ ไม่กอดอำนาจเอาไว้ หรือแม้แต่แก้ตัวต่อหน้าสื่อ กลับตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวลาออกโดยทันที ถือว่าเป็นวิถีทางที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนมีอำนาจในสังคมไทยทุกวันนี้ เพื่อตอบข้อครหา และพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ ไร้ซึ่งตำแหน่งเป็นเกราะป้องกัน ในนามประชาชน ขอคารวะการตัดสินใจนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ดีแก่ทุกหน่วยงานรัฐในประเทศไทย พลังของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด และผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง”