ไม่พบผลการค้นหา
“พิชัย” จี้ “ประยุทธ์” เร่งเพิ่มรายได้คนไทยสู้เงินเฟ้อก่อนจะอดตายกันหมด และหยุดขายฝันมั่ว ชี้ ฟื้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งต่างประเทศจึงต้องเข้าพบหลายสถานทูตสร้างความมั่นใจ แนะ หลักคิดเพื่อไทยฟื้นเศรษฐกิจได้แน่

พิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนเมษายนอยู่ที่ 4.65% ทำให้เงินเฟ้อของ 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 4.71% ซึ่งสูงมาก อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมนี้เงินเฟ้อน่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกจากราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลปล่อยให้ทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 32 บาทและ อีกไม่นานคงจะถึงลิตรละ 35 บาท (ทั้งที่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ราคาน้ำมันโลกก็ประมาณ 100 กว่าเหรียญนี้ แต่ยังสามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ลิตรละต่ำกว่า 30 บาทได้) อีกทั้งค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาท และราคาก๊าซหุงต้มก็ปรับขึ้นอีก ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นแทบทุกชนิด ทั้งราคาไข่ ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาหมู ราคาน้ำมันปาล์ม อาหารแทบทุกชนิดราคาเพิ่มขึ้นมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกจากที่สมาคมขนส่งประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20% หลังจากที่ราคาน้ำมันดีเซลทะลุเกิน 30 บาท สถานการณ์เงินเฟ้อ ข้าวของแพง พลเอกประยุทธ์ทำท่าจะเอาไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้คนเดือนร้อนกันอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนมาก่อนเป็นเดือนๆแล้วแต่พลเอกประยุทธ์เหมือนไม่เข้าใจและทำเหมือนไม่เดือดร้อน

ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ประกาศว่าจะเพิ่มรายได้ให้คนไทยเฉลี่ยปีละ 300,000 บาท ซึ่งไม่รู้เอาความคิดนี้มาจากไหน น่าจะฝันตื่นมาเห็นตัวเลขเหมือนฝันเลขหวย เพราะที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์บริหารเศรษฐกิจของไทยได้ย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ จะไปเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนขนาดนั้นได้อย่างไร แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจยังโบราณมาก และไม่รู้ว่าเมาหรือเครียด พลเอกประยุทธ์ยังได้กล้าประกาศว่าคนจนจะหมดไปในวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรกับที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ได้เคยประกาศไว้เช่นกันว่าคนจนจะหมดไปตั้งแต่ปี 2561 แต่หลังจากประกาศเศรษฐกิจไทยก็เละเทะมาตลอด คนจนกลับเพิ่มขึ้นมาก จนสุดท้ายต้องถูกปลดออกไป ดังนั้นการที่พลเอกประยุทธ์เลียนแบบนายสมคิดและประกาศตามก็คงเละตามกันไปเหมือนกัน คนจนจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก และคนจะลำบากกันอย่างมากจนจะทนกันไม่ไหว 

จริงอยู่ สถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นกับทั้งโลก แต่รัฐบาลที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพเขาจะพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูง ทำให้ ประชาชนของประเทศเขามีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะข้าวของแพงได้ แต่ประเทศ ไทยกลับทำตรงกันข้าม พลเอกประยุทธ์ด้อยความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับ เงินเฟ้อสูง ราคาข้าวของแพงแต่รายได้ไม่เพิ่ม ค่าแรงไม่เพิ่ม ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มน้อยมาก ยังไม่พอกับราคาค่าปุ๋ยที่แพงขึ้นมาก คนหาเช้ากินค่ำค้าขายฝืดเคืองเพราะขายของไม่ดีคนไม่มีเงินซื้อ พอแม่ค้าตอบพลเอกประยุทธ์ว่าขายไม่ดี พลเอกประยุทธ์กลับเสนอให้ไปขายของชนิดอื่น ซึ่งแสดงถึงความไม่เข้าเลยว่าเศรษฐกิจไม่ดี ขายอะไรก็ไม่ดี เปลี่ยนของขายก็จะขายไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือการต้องเปลี่ยนนายกฯ ทันทีอย่างเดียว และหานายกที่เก่งเศรษฐกิจมาบริหารถึงจะขายของได้ดี คนมีรายได้เพิ่ม 

โดยอยากให้พลเอกประยุทธ์ไปศึกษา 5 แนวทางที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เสนอไว้แล้ว คือ การกระจายอำนาจ ดึงศักยภาพคนไทยด้วย Soft Power การใช้ AI เพื่อการเกษตร การปรับภาครัฐและภาคเอกชนเข้าสู่ Digital Transformation และ การเตรียมคนไทยเข้าสู่ Metaverse ซึ่งสามารถเปลี่ยนประเทศ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต อีกทั้งจะเพิ่มรายได้ของประชาชนให้มากขึ้นได้อย่างแน่นอน อย่าอ้างแก้ตัวมั่วว่าได้ทำแล้วทั้งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะทำได้อย่างไร และพรรคเพื่อไทยยังจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยออกมาอีกมากที่จะประกาศเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเป็นเศรษฐกิจเปิด ดังนั้นไทยจึงจำเป็นจะต้องพึ่งเศรษฐกิจโลกในการฟื้นฟูและพัฒนา และนั่นเป็นเหตุผลที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเดินสายพบประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตจีน สถานทูตเกาหลีใต้ สถานทูตออสเตรเลีย ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงและขอความร่วมมือ หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดทางเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคเพื่อไทยเป็นแบบอย่าง

ในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เป็นการขึ้นครั้งเดียวสูงสุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงพุ่งสูงถึง 8.5% และยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้และมีการคาดกันว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 0.75% ในครั้งเดียวในอีกไม่นานนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็จะหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ซึ่งจะเป็นภาระต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้น ถ้าไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไทยมีอาจจะไหลออกไปต่างประเทศได้ทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยเอง เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจากข้อมูลที่ได้รับ ได้มีการโยกย้ายเงินทุนต่างประเทศออกจากประเทศไทยไปบ้างแล้ว และค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงมามาก แต่ก็จะเป็นประโยชน์กับการส่งออก อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 50,000 ล้านเยนในภาวะปัจจุบันที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ามากสุดประมาณ 130 เยนต่อเหรียญสหรัฐซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำมาก (0.01%) แต่หากในอนาคตค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ไทยจะต้องจ่ายหนี้คืนในจำนวนเงินที่สูงกว่า และจะสูงกว่าค่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ จึงน่าจะต้องพิจารณาให้ดี และในอดีตไทยเคยมีประสบการณ์กู้เงินเยนดอกเบี้ย 0% แต่เจอค่าเงินเยนแข็งค่ามากทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมากมาแล้ว 

ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน มีวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเพื่อนำพาประเทศให้ฝ่าพ้นวิกฤตไปได้ โดยรัฐบาลจะต้องเร่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในทุกทางเพื่อให้ประคองผ่านภาวะแพงทั้งแผ่นดินในปัจจุบันได้ ถ้าบริหารประเทศมา 8 ปี ประเทศไม่ได้ไปถึงไหน แล้วคิดได้แค่จะขายฝันไปวันๆด้วยมุขเก่าๆ เช่น คนจนจะหมดไป จะเพิ่มรายได้ประชาชน จะเป็นประเทศรายได้สูง คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะเชื่อแล้ว สมควรจะต้องรู้ตัวเองและออกไปได้แล้ว และ พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรจะตาสว่างมองเห็นเช่นกัน ก่อนประชาชนจะอดตายกันหมด