วันที่ 22 ต.ค. 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 มีผู้ป่วยรายใหม่ 9,810 ราย หายป่วยแล้ว 1,683,021 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,802,526 ราย และเสียชีวิตสะสม 18,531 ราย ส่วนข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563 หายป่วยแล้ว 1,710,447 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,831,389 ราย เสียชีวิตสะสม 18,625 ราย
สำหรับยอดผลบวกที่ตรวจด้วย ATK วันที่ 22 ต.ค. 2564 มีจำนวน 2,785 ราย และมียอดผลบวกสะสม วันที่ 20 ส.ค.-22 ต.ค. 2564 จำนวน 178,871 ราย
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่ วันที่ 22 ต.ค. 2564 โดยกรุงเทพฯ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากที่สุด 908 คน รวมสะสมตั้งแต่ 1 เม.ย. -22 ต.ค. 2564 จำนวน 391,850 ราย
โดยสถิติผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้อโควิดในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ 1 เม.ย. -15 ต.ค. 2564 มีจำนวนสะสม 384,687 คน โดย ศบค.ได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานคร ในช่วง 7 วันล่าสุด ดังนี้ 16 ต.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 1,077 คน 17 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่ 1,065 คน 18 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่ 1,046 คน 19 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่ 1,037 คน 20 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่ 1,020 คน 21 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่ 1,010 คน และ 22 ต.ค. ผู้ป่วยรายใหม่เป็นครั้งแรกที่ยอดป่วยลดจากหลักพันมาอยู่ที่ 908 คน
อันดับ 2 จ.สงขลา มีผู้ป่วยรายใหม่ 676 คน 3.จ.นครศรีธรรมราช ผู้ป่วยรายใหม่ 662 ราย 4.จ.ยะลา ผู้ป่วยรายใหม่ 432 ราย 5. จ.ปัตตานี ผู้ป่วยรายใหม่ 422 ราย 6.จ.เชียงใหม่ ผู้ป่วยรายใหม่ 412 ราย 7.จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้ป่วยรายใหม่ 341 ราย 8. จ.ตาก ผู้ป่วยรายใหม่ 309 ราย 9.จ.สมุทรปราการ ผู้ป่วยรายใหม่ 307 ราย 10.จ.นราธิวาส ผู้ป่วยรายใหม่ 306 ราย
สำหรับผู้ได้รับวัคซีนระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 21 ต.ค. 2564 สะสมทั้งหมด จำนวน 69,217,162 โดส
มีผู้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 สะสมจำนวน 36,588,030 ราย (54.6% ของประชากร) เพิ่มขึ้น 318,428 ราย
เข็มที่ 2 สะสมจำนวน 26,443,906 ราย (38.6% ของประชากร) เพิ่มขึ้น 368,380 ราย
เข็มที่ 3 สะสมจำนวน 2,984,705 ราย (2.9% ของประชากร) เพิ่มขึ้น 27,296 ราย
แจงหลักเกณฑ์รับนักท่องเทีี่ยว 46 ชาติเข้าไทย
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. แถลงถึงการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 36) ที่เพิ่งลงนามเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยรองรับการเปิดประเทศเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 2564
ในส่วนการเดินทางเข้าประเทศไทยรวมทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยจะมี 45 ประเทศ 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ จะต้องมีหลักเกณฑ์โดยได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และเข็มที่2 ต้องมีระยะเวลาก่อนเดินทาง 14 วัน และมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และมีผลยืนยันเป็นลบต้องมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ การเข้าพักในโรงแรมหรือสถานที่ราชการกำหนด เมื่อรอครบ 1 คืนมีผลยืนยัน RT-PCR เป็นผล โดยกลุ่มนี้จะเดินทางพื้นที่อื่นได้ไม่ต้องกักตัว แต่ต้องทำตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 36 สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่อใช้สถานประกอบการพื้นที่ใดต้องทำตามมาตรฐานสาธารณสุขของไทย
ส่วนกรณีคนไทยเดินทางจากประเทศไม่ต้องกักตัว ไม่จำเป็นต้องมีหลักประกันสุขภาพ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับเกณฑ์การรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย จะพิจารณาจาก 1.การเข้าสถานที่กักกันตามที่ราชการำหนด จะต้องเป็นผู้ได้วัคซีนไม่ครบ ไม่จำกัดประเทศ
2.การเข้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวตามเงื่อนไขกำหหนด ต้องเป็นผู้ได้วัคซีนครบ ไม่จำกัดประเทศ โดยพื้นที่ต้องมีความพร้อม เช่น ความครอบคลุมการได้รับวัคซีนสถานการณ์การระบาดที่ควบคุมได้และระบบสาธารณสุขในพื้นที่รองรับได้
3.การเข้าราชอาณาจักรโดยไม่กักตัว เป็นผู้ได้รับวัคซีนครบ ไม่จำกัดประเทศ ในเงื่อนไขที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
พญ.อภิสมัย ระบุว่า มีการรายงานผู้ติดเชื้อในภาคใต้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคลัสเตอร์ของภาคใต้พบการติดเชื้อระบาดและกระจายไปสู่ครอบครัวและพื้นที่ชุมชนและตลาด โดยฝากประชาชนภาคใต้ให้ระลึกเสมอคนใกล้ตัวเราแม้จะเป็นเพื่อนเรา ญาติ อาจเป็นผู้นำเชื้อให้นำมาสู่ครอบครัว จะต้องเฝ้าระวังมาตรการสาธารณสุขและขอให้กำลังใจบุคลากรสาธารณสุขในภาคใต้
ประชุมศบค.ส่วนหน้า เร่งฉีดวัคซีน 4 จังหวัดใต้ให้มากสุด
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาควาณิชย์ ผอ.ศบค. ส่วนหน้า เปิดเผยว่า บ่ายวันนี้ จะมีการประชุม ศปก. ศบค รับทราบรายงานภาพรวม สถานการณ์โควิด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงเตรียมพร้อมแนวทางที่จะทำในการเปิดประเทศ 1 พ.ย นี้ โดยจากการลงพื้นที่หารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 19 ต.ค ที่ผ่านมา ทั้งส่วนราชการ และผู้นำศาสนา ต่างได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยจะหารือปรับระบบ การทำงาน ให้เร่งตรวจ และฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด จากปัจจุบัน ฉีดได้ ร้อยละ 40-50 เท่านั้น ในเข็มที่ 1 จากที่ตั้งเป้าไว้ร้อยละ 70
ข่าวที่เกี่ยวข้อง