จากกระแสข่าวการเดินทางไปร่วมฝึกการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operations) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาของทหารไทยจำนวน 109 นาย โดยทำการฝึกที่ Fort Bragg นอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงวันที่ 10 – 26 ก.ค.ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ภายใต้การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ในปี 2565 โดยค่าใช้จ่ายในครั้งนี้มาจากงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจาก Rocket Media Lab สะท้อนความสัมพันธ์ของกองทัพทั้งสองประเทศ ผ่านประวัติศาสตร์ การสนับสนุนการเงิน และการจัดซื้อยุทโธปกรณ์
ประเทศไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อปี 2376 และในส่วนความสัมพันธ์ทางการทหารนั้น ในปี 2493 สมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดทำความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือทางทหารกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเน้นเรื่องความร่วมมือทางการทหารและความมั่นคงเป็นหลัก โดยเมื่อปี 2546 สหรัฐฯ ได้ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต (Major Non NATO Ally – MNNA) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กองทัพไทยสามารถจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเข้าถึงเทคโนโลยีทางการทหารต่างๆ ของสหรัฐฯ ได้
ในเวลาต่อมายังมีการเพิ่มความร่วมมือทางการทหาร โดยผ่านโครงการ IMET (The International Military Education and Training) และโครงการ Foreign Military Sales (FMS) รวมไปถึงการฝึกซ้อมทางทหารคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ซึ่งเป็นการฝึกร่วมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย
การฝึกซ้อมทางทหารคอบร้าโกลด์เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2499 โดยเป็นการฝึกผสมยกพลขึ้นบกระหว่างกองทัพเรือของไทยกับกองทัพเรือและหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสหรัฐฯ
จากนั้นในปี 2525 กองทัพอากาศของไทยได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกด้วย ซึ่งมีการฝึกร่วมหลายรหัส จึงกำหนดเป็นรหัสการฝึกใหม่ เรียกว่า “คอบร้าโกลด์ 82” และต่อมาในปี 2526 กองทัพบกก็ได้จัดหน่วยรบพิเศษเข้าร่วมการฝึกอีกเหล่าทัพหนึ่ง อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกร่วมและผสมครบทั้ง 3 เหล่าทัพ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายต่อต้าน (anti) และปิดล้อม (containment) การแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ และได้เข้ามามีบทบาทโดยตรงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ความมั่นคง การทหารและการป้องกันประเทศของประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยด้วย
เมื่อครั้งที่เกิดสงครามเกาหลี ประเทศไทยได้ส่งข้าวจำนวน 20,000 ตัน และทหารจำนวน 4,000 นาย ไปช่วยเหลือสหประชาชาติในสงครามเกาหลี และให้การรับรองรัฐบาลเบาได๋ของเวียดนามที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน นอกจากนี้ยังจัดส่งทหารจำนวนประมาณ 12,000 นาย ไปร่วมรบในเวียดนามด้วย โดยสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายของกำลังพล
ในปี 2511 สหรัฐให้ความช่วยเหลือด้านการทหารของไทยสูงถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2,458 ล้านบาท) และระหว่าง 2508 – 2513 สหรัฐฯ ยังได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 12,129 ล้านบาท) เพื่อปรับปรุงฐานทัพในไทย รวมไปถึงความช่วยเหลือด้านอื่นๆ อีก 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,966 ล้านบาท)โดยส่วนใหญ่เป็นความช่วยเหลือแก่รัฐบาลไทยในการต่อสู้เพื่อเอาชนะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
จะเห็นได้ว่างบประมาณจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกานั้น มาในช่วงสงครามเย็นและภัยคอมมิวนิสต์ โดยในปี 2508 นั้น เกิดเหตุการณ์สำคัญในประเทศไทยก็คือในวันที่ 7 ส.ค.2508 เป็นวันที่กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ปะทะด้วยกำลังอาวุธปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นครั้งแรกที่บ้านนาบัว อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม หรือที่เรียกกันว่าวันเสียงปืนแตก ต่อมา สงครามเย็นได้สิ้นสุดลงในช่วงปี 2534
หลังจากนั้นงบประมาณการสนับสนุนทางการทหารของสหรัฐอเมริกาต่อไทยก็ลดลงเรื่อยๆ และเปลี่ยนจากงบฯ ต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นอย่างอื่น เช่น กองทุนต่อต้านอิทธิพลจากประเทศจีน(CCIF)ในปี 2564
นอกจากนี้ จากการที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิดอันเป็นผลจากความขัดแย้งในอดีตที่ชายแดนกับกัมพูชา ลาว มาเลเซีย และเมียนมา ประเทศไทยได้รับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2536 เป็นจำนวนเงิน 18.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 620 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมและการทำลายอาวุธตามแบบแผน อันเป็นการทำงานร่มกันระหว่างโครงการวิจัยและพัฒนาการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมของกระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งประเทศไทย
ประเทศไทยยังได้รับเงินสนับสนุนจาก International Military Education and Training (IMET) เพื่อใช้ในปี 2562 และปีงบประมาณ 2563 จำนวน 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 85 ล้านบาท) และในปี 2564 อีก 2.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 87 ล้านบาท)
รวมไปถึงเงินสบับสนุนจากจาก Foreign Military Financing (FMF) ผ่านโครงการ SAMSI และ Advanced Targeting Development Initiative (ATDI) สำหรับความมั่นคงทางทะเลและโครงการอื่นๆ จำนวน 34.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,128 ล้านบาท) ในปี 2563 อีกด้วย
ในปี 2564 สหรัฐฯ ยังได้มอบเงิน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 229 ล้านบาท) แก่ประเทศไทยในกองทุนต่อต้านอิทธิพลจากประเทศจีน (CCIF) สำหรับการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ การปฏิบัติงานด้านเทคนิค และวิชาชีพอีกด้วย
จากความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการทหารของไทย สหรัฐฯ อันดีที่ผ่านมา ทำให้ไทยสามารถซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือทางการทหารผ่านโครงการ Foreign Military Sales (FMS) ได้ ถึงแม้ว่าภายหลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 สหรัฐฯ จะลดความสัมพันธ์ทางทหารกับไทย ระงับการขายอาวุธ และลดขนาดการฝึกทางทหาร ทำให้กองทัพไทยได้หันไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีน และรัสเซียก็ตาม เริ่มตั้งแต่การซื้อรถถัง VT-4 มูลค่า 4,985 ล้านบาทจากจีนในปี 2558 ตามมาด้วยเฮลิคอปเตอร์ Mi17VS จำนวน 6 ลำ มูลค่า 5,083 ล้านบาท จากรัสเซีย ในปี 2559 และเรื่อยมาหลังจากนั้น
แต่จากข้อมูลของสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหม สหรัฐอเมริกา พบว่าไทยได้สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เรื่อยมาโดยใช้งบประมาณกว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 88,500 ล้านบาท) และยังพบรายการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร ย้อนหลัง 10 ปี ดังนี้
นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2562 สหรัฐอเมริกายังอนุญาตให้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการป้องกันประเทศไปยังประเทศไทยมูลค่ากว่า 140.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านกระบวนการขายตรง (DCS) อันได้แก่ อาวุธปืน เครื่องบินและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง กระสุนและอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ และยังมีรายการที่ไม่ปรากฏงบประมาณการซื้อขาย ได้แก่ มิสไซล์ RGM-84L Harpoon Block II และ มิสไซล์ Evolved Sea Sparrow อีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;