วันที่ 22 ก.ค. 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวภายหลังการประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมของโลก และยังคงมีการระบาดที่รุนแรง รวมทั้งยังมีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนผันการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรกันอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอนุญาตมีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มเติม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มาตรการผ่อนคลายภายในประเทศที่ดำเนินการอยู่เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงมีความจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการระบาดของโรคภายในประเทศ ดังนั้นในความจำเป็นจึงขอขยายระยะเวลาการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีอำนาจตามกฎหมายเชิงป้องกันในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการควบคุมการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง การจัดทำระบบติดตามตัว การกักตัว และการเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย ตลอดจนมาตรการการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุมในทุกกิจกรรมกิจการที่เกี่ยวข้อง
"ขณะนี้มีความจำเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการวิกฤติการณ์ในลักษณะการรวมศูนย์ที่ปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการบูรณาการกำลังพลเรือน ตำรวจ และทหารเข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ฐานวิถีชีวิตใหม่ (NewNormal) จนกว่าจะมีกฎหมายฉบับอื่นมารองรับในอนาคต" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วย นายกรัฐมนตรี ฝากให้กำลังใจประชาชน ขอบคุณชาวระยองและกรุงเทพฯ พร้อมให้กำลังใจกับทีมเจ้าหน้าที่ที่ทำงานทั้งหมดว่าอย่าท้อถอยและอดทน เพราะโรคยังต้องอยู่กับเราไปพอสมควร และหลักการต้องจัดความสมดุลให้ได้ทั้งด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ส่วนการทำงานต้องมีแผนทั้งเชิงรับเชิงรุก และมีแผนเผชิญเหตุ ตลอดจนต้องรับฟังเสียงของประชาชน และความคาดหวังของประชาชน แต่ต้องเป็นไปตามความเป็นจริงตามสถานการณ์ของโลกและประเทศ นอกจากนี้ ยังแสดงความห่วงใยใจการชุมนุมทางการเมืองต้องมีความสมดุลกับเว้นระยะห่าง เพราะเรายังอยู่ในห้วงของการแพร่ระบาด
ด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าช่วงนี้จำเป็นต้องมีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน เนื่องจากสถานการณ์ในแต่ละวันพบผู้ติดเชื้อทั่วโลกเฉลี่ยวันละ 2 แสนคน ประกอบกับช่วงนี้เรามีความจำเป็นต้องเปิดประเทศมากยิ่งขึ้น ดังนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงเป็นมือเพียงอย่างเดียวแต่ต้องถูกชั่งน้ำหนักระหว่างด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้ทีมกฎหมายและกระทรวงสาธารณสุข กำลังเร่งพยายามปรับปรุง พ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อให้มีบทบาทใกล้เคียงกับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นคงมาตรการของรัฐในการกักตัว 14 วัน เพื่อให้ประชาชนสบายใจยิ่งขึ้น
"เราใช้มาตรา 9 ในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้เบาที่สุดแล้ว วันนี้เราไม่ได้ห้ามการออกเคหะสถานที่หรือเคอร์ฟิว และไม่ใช่มาตรา 9 ในการห้ามการชุมนุมทางการเมือง เพื่อแสดงให้เห็นว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เราต่ออีก 1 เดือนทั้งเดือน ส.ค.นี้ มีเจตนาเพื่อควบคุมโรคโดยบริสุทธิ์ใจเพียงอย่างเดียว และการห้ามการชุมนุมจะไม่ปรากฎในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่การชุมนุมการทางการเมืองต้องปฏิบัติตามกฏหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายปกติ" พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การชุมนุมที่ผ่านมามีบางคนโดนดำเนินคดีตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะต้องทำอย่างไรต่อนั้น พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดต้องว่าไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่า การต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเดือน ส.ค. นี้จะไม่มีประเด็นการชุมนุมทางการเมืองมาเกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง