นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดที่ 2/2562 วันนี้(6ก.ย.62) ว่าที่ประชุมได้อนุมัติแพคเกจ Thailand Plus ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสนอ เพื่อกระตุ้นและเร่งรัดการลงทุน 7 ด้าน ประกอบไปด้วย
1. ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติที่ได้รับยกเว้นสูงสุด 8 โดยต้องโครงการที่มีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 และต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2563
2. จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน ในลักษณะ One Stop Service โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคแก่นักลงทุน รวมทั้งให้บีโอไอสามารถอนุมัติโครงการในกลุ่มกิจการที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกขนาดการลงทุนเพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐาน
3. กำหนดมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปหักลดหย่อนเพิ่มขึ้นระหว่างปี 2562 – 2563 รวมทั้งให้มีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง โดยสามารถนำค่าจ้างไปหักค่าใช้จ่ายได้ ระหว่างปี 2562 – 2563
นอกจากนี้ ในกรณีของโครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมและยังมีสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้อยู่ บีโอไอจะอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่ายเป็น Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นร้อยละ 200 รวมทั้งให้บีโอไอและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกันนำเสนอแนวทางและรูปแบบการนำเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯมาใช้สนับสนุนการจัดตั้งสถาบันการศึกษาศักยภาพสูง
4. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งปรับปรุงบัญชีแนบท้ายตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัดต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และให้บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเชื่อมโยงข้อมูล รวมทั้งให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน อำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญสูง
5. มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เตรียมจัดหาและพัฒนาพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน เป็นต้น
6. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปเรื่องการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าไทย–อียู และการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) ภายในปี 2562 รวมทั้งมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแก่กระทรวงพาณิชย์ สำหรับกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าด้วย
และ 7. ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการเพิ่มเติม โดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติได้เพิ่มขึ้น ระหว่างปี 2562 – 2563 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย
ทั้งนี้นายกอบศักดิ์ ระบุว่า มาตรการ 7 ด้าน บางส่วนจะต้องนำเข้าที่ประชุมบอร์ดบีโอไอก่อนเสนอ ครม.อนุมัติ โดยยืนยันว่า ด้านสิทธิพิเศษเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ไทยให้มากกว่า ถือเป็นมาตรการดึงดูดการลงทุนดีที่รุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เพราะเต็มเพดานที่กฎหมายกำหนดที่จะสามารถให้ได้
ด้านนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามาตรการทั้งหมดจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้เพิ่มขึ้นเท่าใด แต่กลุ่มเป้าหมายหลักะเป็นนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงไต้หวัน เชื่อมั่นว่าจะจูงใจนักลงทุนได้ เพราะเป็นประเด็นที่ปลดล็อกตามความไม่สบายใจของนักลงทุน