ไม่พบผลการค้นหา
ห้องเรียนประวัติศาสตร์นอกขนบครั้งที่ 2 ธงชัย วินิจจะกูล อธิบายพล็อตประวัติศาสตร์กระแสหลักของไทยเรื่อง การเสียดินแดน ระบุใช้กรอบปัจจุบันอธิบายอดีตแบบผิดบริบท-ข้อเท็จจริง-ส่งเสริมแนวคิดราชาชาตินิยมให้แข็งแกร่ง

12 มิ.ย.2564 คณะก้าวหน้า โดย คอมมอน สคูล (Common school) จัดบรรยายหลักสูตร วิชา ประวัติศาสตร์นอกขนบ รายวิชาย่อย สยามยุคกึ่งจักรวรรดิกึ่งอาณานิคม เป็นครั้งที่2 โดยธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ Wisconsin Madison สหรัฐอเมริกา บรรยายในหัวข้อ “เสียดินแดนหรือจักรวรรดิสยามได้ดินแดน”

ธงชัยเริ่มต้นการบรรยายว่า เมื่อค้นข้อมูลเท่าที่มีจะพบว่าเรานับจำนวนครั้งที่ประเทศไทยหรือสยามเสียดินแดนแตกต่างกัน เพราะประวัติศาสตร์การเสียดินแดนใช้มโนทัศน์ย้อนเวลาไปอธิบายอดีตอย่างผิดฝาผิดตัว ผิดยุคสมัย จึงตีความได้หลายแบบ มโนทัศน์ที่ใช้กับข้อเท็จจริงไม่เข้ากัน จึงไม่มีหลักเกณฑ์นับ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อมูลประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องจินตนาการในความรักชาติจึงมักโมเมเอา ส่วนที่ระยะหลังเชื่อว่าเสียดินแดนถึง 14 ครั้ง เป็นเพราะอิทธิพลของสื่อสมัยใหม่ น่าสังเกตว่า ความรักชาติทำให้เรื่องการเสียดินแดนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ด้วยความที่ไม่มีหลักเกณฑ์จึงเปิดโอกาสให้จินตนาการได้ไม่จำกัด ทั้งที่เป็นสิ่งที่สมควรต้องสงสัยโดยเฉพาะที่ระบุว่า 14 ครั้งนั้นงอกมาจากไหน นักวิชาการชาตินิยมทั้งหลายหากเชื่อว่าสยามเสียดินแดน อยากให้มีหลักเกณฑ์ทางวิชาการด้วย

พล็อตแบบเดียวกันของประวัติศาสตร์เสียดินแดน  “หมาป่ากับลูกแกะ” ฝังหัวประชาชน

ธงชัย กล่าวว่า การเขียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่การพูดความจริงทั้งหมด แม้นักประวัติศาสตร์ไม่ได้ตั้งใจโกหก แต่ฐานความคิดทำให้ตีความต่างกัน การสร้าง ประกอบเรื่อง หยิบยืมเค้าโครงเรื่องที่คุ้นเคย พล็อตประวัติศาสตร์ตามขนบเรื่องเสียดินแดนจะเริ่มจากฝรั่งเศส อังกฤษ คุกคามต้องการยึดดินแดนที่เป็นของสยามมานานแล้ว จากนั้นจะพยายามอธิบายว่าทำไมต้องการยึดครอง เช่น มีทรัพยากร มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ต่อด้วยอธิบายกระบวนการที่มหาอำนาจรุกคืบ และลงท้ายที่จะหาข้ออ้างยึดครอง และอธิบายต่ออีกว่าสยามได้อดทน ใช้เหตุผลอย่างสุดกำลัง แต่ลงท้าย อังกฤษ ฝรั่งเศสก็ต้องการดินแดนให้ได้ เราจึงต้องยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้

“พล็อตประวัติศาสตร์เสียดินแดนแบบนี้ สามารถผลิตเป็นหนังสือ บทความ นิยาย ได้เยอะแยะมากมาย โดยพล็อตรวมๆ แทบไม่ต่างกัน ส่วนความซับซ้อนมากน้อยแล้วแต่กรณี และมักไปจบแบบกรณี ร.ศ.112 ซึ่งสรุปออกมาเป็นทำนองว่า หมาป่าฝรั่งเศสกับลูกแกะสยาม แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายชาตินิยมก็รู้ดีว่านั่นใช้ไม่ได้กับทุกกรณี เช่น กรณีทางมลายูก็ไม่ใช่กับพล็อตนี้ เพราะเป็นเรื่องที่มีการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน หรือกรณีทวายและปีนัง สองครั้งนั้นก็ไม่ลงพล็อตนี้ อย่างไรก็ดี พล็อตหมาป่ากับลูกแกะที่ถูกผลิตซ้ำๆ ก็ทำให้คนไทย คิดว่าเป็นแบบนี้ทุกกรณี”

 วิธีวิทยาพื้นฐาน 3 ประการ - ผิดฝาผิดตัว ผิดยุคสมัย และไม่เข้ากับ “ข้อเท็จจริง”

ธงชัย กล่าวว่า ประวัติศาสตร์เสียดินแดนตามพล็อดังกล่าวใช้วิธีวิทยาพื้นฐาน 3 ประการ คือ

1.ใช้มุมมองจักรวรรดิเจ้ากรุงเทพฯ

2.ใช้บริบทการเมืองระหว่างประเทศของยุคอาณานิคม ไม่ใช่การเมืองของจักรวรรดิระดับภูมิภาค ทั้งๆ ที่ขณะนั้นไม่ใช่รัฐชาติสมัยใหม่

3.ใช้ทัศนะอธิปไตยเหนือดินแดน หรือภูมิรัฐศาสตร์แบบรัฐสมัยใหม่ไปอธิบายภูมิรัฐศาสตร์ที่ตกทอดมาจากการเมืองระหว่างอาณาจักรยุคศักดินา คือ ใช้บริบทเสียดินแดนในทัศนะสมัยใหม่เข้าไปปน

จากวิธีวิทยาทั้ง 3 ประการนี้ ทำให้เชื่อว่าดินแดนเหล่านั้นเป็นของสยามชัดเจนมานานแล้ว เพียงแค่การขีดเส้นแขตแดนยังไม่ชัดเจน ยังไม่สมบูรณ์เป็นปัญหาทางเทคนิค ขณะที่ข้อเท็จจริงคือ ดินแดนประเทศราชนั้น กำกวม ไม่ชัดเจน เพราะขึ้นกับเจ้าประเทศราชมากกว่าหนึ่งประเทศในเวลาเดียวกัน

“เรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนก็มีมโนทัศน์ว่า อธิปไตยเหนือดินแดนต้องไม่ซ้อนทับ ต้องเป็นของรัฐใดรัฐหนึ่งอย่างชัดเจน ขณะที่ข้อเท็จจริงคือ รัฐแบบเก่า อธิปไตยไม่ผูกติดกับดินแดน แต่ผูกติดกับราชาซึ่งมีอำนาจลดหลั่นเป็นชั้นๆ อำนาจของราชาและอธิราชเหนือดินแดนหนึ่งๆ ซ้อนทับกันได้”

“ส่วนเรื่องความขัดแย้ง ก็ทำให้มีมโนทัศน์ว่า มหาอำนาจอาณานิคมคุกคามสยาม รังแกสยาม หาเรื่องเพื่อเข้ายึดครอง แต่ข้อเท็จจริง คือ มหาอำนาจฝรั่งเศสกับจักรวรรดิสยามแย่งชิงดินแดนกัน ขณะที่เรื่องคู่ขัดแย้ง ก็มีมโนทัศน์ว่า หมาป่าฝรั่งเศสรังแกลูกแกะสยามอย่างไร้เหตุผล ขณะที่ข้อเท็จจริง คือ ต่างก็เป็นหมาป่าทั้งคู่ คือหมาป่าตัวใหญ่ฝรั่งเศส กับ หมาป่าตัวเล็กสยาม ซึ่งหมาป่าสยามพยายามสู้แต่แพ้ โดยลูกแกะแท้จริงแล้วก็คือบรรดาประเทศราชที่ถูกจัดสรรดินแดนและผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยของรัฐสมัยใหม่”

 “รัฐชาติ” เพิ่งเกิด - “เอกราช” ในความหมายปัจจุบันใช้ไม่ได้กับอดีต

ธงชัย กล่าวด้วยว่า ทัศนะทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นทัศนะและกรอบมโนทัศน์หลังเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ที่ใช้ย้อนกลับไปอธิบายก่อนหน้านั้นอย่างผิดฝาผิดตัว ทำให้มโนทัศน์ที่ใช้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ประวัติศาสตร์เสียดินแดน ทำให้เรามองข้ามการผนวกดินแดนของประเทศราชซึ่งเดิมกำกวมอยู่ให้กลายเป็นดินแดนผืนเดียวกันกับอธิปไตยของสยามตามคอนเซ็ปต์ของรัฐแบบสมัยใหม่ เป็นการสร้างอำนาจของรัฐสมัยใหม่บนฐานมุมมองของอำนาจแบบจักรวรรดิ สรุปก็คือ กระบวนการแข่งกันยึดครองดินแดนนั่นเอง เป็นกระบวนการเพื่อสถาปนารัฐสมัยใหม่ ที่รัฐหนึ่งๆ มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนชัดเจนแต่ผู้เดียว สิ้นสุดอำนาจแบบจักรวรรดิของราชาต่างๆ ซ้อนทับเหนือดินแดนเดียวกันแบบที่เป็นจริงในอดีต

“การเสียดินแดน เป็นกระบวนการเดียวกันกับการกำเนิดของสยามที่เป็นรัฐสมัยใหม่ ประเทศไทยที่เป็นรัฐชาติเพิ่งเกิดขึ้น ในกระบวนการเดียวกับที่เราเรียกว่า เสียดินแดน การใช้รัฐชาติย้อนกลับไปเป็นกรอบอธิบาย เป็นการย้อนอธิบายกับข้อเท็จจริงอย่างผิดฝาผิดตัว แม้กระทั่งคำว่า เอกราช ที่ใช้อธิบาย ก็เป็นเอกราชในความหมายปัจจุบันแทบทั้งนั้น ทั้งที่ในความหมายเก่า หมายถึงกษัตริย์ที่เป็นใหญ่สุด อย่างกรณีเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง กษัตริย์พม่ายกมาตี เราก็เป็นฝ่ายกล่าวว่า กังวลว่าตัวเองจะเสียอิสรภาพ คำว่าอิสรภาพกับเอกราชสมัยนั้นตรงกัน คือหมายความว่า เป็นผู้ใหญ่สุด เขาเกรงเรื่องเสียความเป็นผู้ใหญ่สุด เสียพระเกียรติ ไม่ได้เป็นเรื่องการเข้ายึดครอง”

ผลของ “ประวัติศาสตร์เสียดินแดน” ต้นแบบคำอธิบายที่ก่อปัญหาสารพัด

ธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ผลโดยตรงของ “ประวัติศาสตร์เสียดินแดน” คือ ทำให้ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมตกผลึก ด้วยโครงเรื่องแบบหมาป่ากับลูกแกะ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ก่อให้เกิดอารมณ์ทั้งโกรธแค้นต่อศัตรูและดื่มด่ำจงรักภักดี ก่อให้เกิดงานทรงพลังมากมาย เกิดการเสียเลือดเนื้อในหลายๆ กรณีพิพาท การปลุกเร้าให้โกรธเกลียดฆ่าคนในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็เกิดมาแล้ว และยังทำให้บรรพกษัตริย์เป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้กับลัทธิอาณานิคมคนแรกๆ ของภูมิภาค รวมถึงประวัติศาสตร์การเสียดินแดนได้กลายเป็นกรอบมโนทัศน์ที่ถูกย้อนกลับไปทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ตั้งแต่การสู้ปลดแอกกับเขมรแล้วตั้งสุโขทัย และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ก็มองเป็นการเสียเอกราชแบบสมัยใหม่ เหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดไปอีกหลายเรื่องด้วย


เรื่องที่เกี่ยวข้อง