นางสาวชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าววันนี้ (27 ก.ค.67) ว่า จากนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่พรรคเพื่อไทยประกาศเป็นนโยบาย และเมื่อเป็นรัฐบาลได้เดินหน้าดำเนินการส่งเสริมภาครายได้การเกษตรทันที โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นยกระดับราราสินค้าเกษตรทุกชนิด ทั้งการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจริงอย่างต่อเนื่อง , การบริหารจัดการกลไกตลาด วางแผนบริหารจัดการเชิงรุกในทุกสินค้า ตั้งแต่จัดการก่อนเกิดปัญหา ช่วยลดต้นทุน และ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่ ไปพร้อมกับกลไกตลาดที่สอดรับกัน ทำให้ปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดส่งออกข้าวไทยพุ่ง มูลค่ากว่า 1.1 แสนล้านบาท สร้างความพึงพอใจให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ราคาข้าวที่ชาวนาขายได้ในขณะนื้ ถือว่าดีที่สุดในรอบ 16 ปี และเป็นราคาที่สูงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว จากเดิมที่ชาวนาเคยขายข้าวได้ตันละไม่ถึง 10,000 บาท แต่ขณะนี้พุ่งไปตันละหมื่นกว่าบาท โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ 105 ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ราคารับซื้ออยู่ที่ตันละ 16,000 บาทแล้ว เมื่อราคาขายข้าวสูงขึ้น ประกอบกับได้รับอานิสงค์จากนโยบายพักหนี้เกษตรกร ทำให้ชาวนาเริ่มลืมตาอ้าปากได้
ทั้งนี้ ราคาข้าวที่สูงขึ้น เกษตรกรจึงทำนาปรังเต็มพื้นที่เพื่อให้ทันต่อความต้องการของตลาด สอดรับกับคาดการณ์รายได้เกษตรกรในปี 2567 ที่กระทรวงการคลังปรับเพิ่มคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 8% เมื่อรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น จีดีพีภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“รัฐบาลมองเห็นโอกาสของราคาสินค้าเกษตรไทยที่สามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรใหม่ในต่างประเทศ เพื่อผลักดันสินค้าเกษตรไทยเพิ่มขึ้น เกษตกรรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตกรกลับมาลืมตาอ้าปากได้”
นางสาวชญาภา กล่าว