ไม่พบผลการค้นหา
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบออกสลากการกุศล เพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการ จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 921.45 ล้านบาท

ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 มี.ค. 66 ได้เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 921.45 ล้านบาท 

สำหรับการพิจารณาให้ออกสลากการกุศลเพิ่มเติมครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลสนับสนุนให้หน่วยงานสามารถออกสลากการกุศลเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ ได้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณรัฐอีกทางหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติกรอบให้หน่วยงานต่างๆ สามารถออกสลากการกุศลได้รวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการฯ ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการสลากการกุศลของหน่วยงานต่างๆ ก่อนเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอ ครม.

ไตรศุลี กล่าวว่า ภายใต้กรอบวงเงินที่ ครม. ได้กำหนดให้หน่วยงานได้รับอนุมัติให้ออกสลากการกุลไปแล้ว 16 โครงการ วงเงินรวม 8,239.93 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการเห็นชอบครั้งนรี้แล้วจะรวมเป็น 19 โครงการ วงเงินรวม 9,161.38 ล้านบาท

สำหรับ 3 โครงการที่ได้รับความเห็นชอบให้ออกสลากการกุศลได้ในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) โครงการขยายพื้นที่บริการ เพิ่มศักยภาพการให้บริการรักษาพยาบาลและการรองรับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วงเงิน 604.19 ล้านบาท 2) โครงการศูนย์นวัตกรรมด้านการแพทย์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ของโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ วงเงิน 67.26 ล้านบาท และ 3)โครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศ วงเงิน 250 ล้านบาท


ครม.อนุมัติกำหนดเขตที่ดินเวนคืน ทางก่อสร้างเชื่อมเข้าสนามบินอู่ตะเภา

.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 มี.ค. 66 ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ทางแยกเข้าพัทยาและทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข3 (บ้านอำเภอ) และทางเข้าท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา

โดยการออกพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ ดำเนินการเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด ซึ่งให้เริ่มเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ และพระราชกฤษฎีกาฯ นี้มีกำหนดใช้บังคับ 5 ปี 

ไตรศุลี กล่าวว่า การดำเนินโครงการซึ่งมีการกำหนดที่ดินที่จะเวนคืนครั้งนี้ เป็นการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข7 เพื่อเชื่อมต่อเข้าสนามบินอู่ตะเภา ระยะทาง 1.92 กม. มีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ ประกอบด้วยที่ดิน 20 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 3 ราย พืชผลต้นไม้ 20 ราย รวมค่าทดแทนในการเวนคืนรวมเป็นเงินงบประมาณ 107.7 ล้านบาท  

สำหรับทางหลวงพิเศษหมายเลข7 นี้ ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่จะช่วยเติมเต็มโครงข่ายคมนาคมให้สมบูรณ์ เชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งจากรุงเทพฯ และปริมณฑลไปสู่ภาคตะวันออก ส่งเสริมการให้บริการของโครงการสนามบินอู่ตะเภาเพื่อยกระดับสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่3 ในพื้นที่ต่อเนื่องกับกรุงเทพฯ รวมถึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเมืองการบินภาคตะวันออก อันจะทำให้การพัฒนาอีอีซีกลายเป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจที่สำคัญของประเทศ 

ทั้งนี้ กรมการปกครองได้สำรวจแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ แล้ว และสำนักงบประมาณได้แจ้งว่าจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กรมทางหลวงสำหรับดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ