ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการประชุมรัฐสภา เพื่อหาทางออกของปัญหาประเทศ ที่ผ่านมาว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภา คณะรัฐมนตรีหลายคน มีแนวทางการอภิปราย เพียง 2 เรื่องใหญ่ๆ คือพยายามเชื่อมโยง ด้อยค่าการชุมนุมของนักเรียนนักศึกษา ประชาชนรอบนี้ว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง มีต่างประเทศหนุนหลัง ต่างๆนานา และมีการพยายามจะอธิบายถึงข้อเสนอที่หลายคนกล่าวว่าทําไม่ได้ หรือถ้าทำได้ต้องใช้เวลา
สำหรับตนเห็นว่าการที่จะแก้ปัญหานั้น ต้องอาศัยเจตจำนงเป็นหลัก ถ้ามีเจตจำนงที่จะทำจริงๆ เทคนิคที่กล่าวมานั้นทำได้หมด
ปิยบุตร กล่าวว่า การอภิปรายตลอด 2 วันที่ผ่านมา ไม่ได้แก้อะไรเลย และตอนที่นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปสุดท้ายยิ่งทำให้เห็นว่าไม่ได้มีความสำคัญจะแก้ปัญหาอะไร ทำให้ตนกังวลใจว่าประชาชนจะสิ้นหวังว่ากระบวนการสภานั้นใช้การไม่ได้ และจะไปแสดงออกโดยการชุมนุมบนท้องถนน อย่างที่เป็นอีก ส่วนการที่จะมีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อหาทางออกนั้น หากไม่มีการนำข้อเสนอทั้ง 3 ข้อของกลุ่มผู้ชุมนุมมาพิจารณา ก็ไม่มีประโยชน์
ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวถึงข้อกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการชุมนุมและมีต่างชาติอยู่เบื้องหลังด้วย รวมถึงการที่หลายฝ่ายมองว่าการชุมนุมเป็นการล้มล้างสถาบันฯว่า การแสดงออกของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการใช้สิทธิ์พลเมือง ถูกต้องตามกฎหมาย และข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีข้อใดที่บ่งบอกถึงการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงการเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ให้เหมาะสมกับยุคสมัย และสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีการตระหนักหรือยอมรับจากฝั่งผู้มีอำนาจ ซึ่งวิธีการที่รัฐบาลเลือกทำในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือการโหมกระพือ ความเกลียดชัง ด้วยการใช้ข้ออ้างให้ประชาชนเข้าใจ กลุ่มคนเข้ามาชุมนุมเพื่อต้องการล้มล้างสถาบัน นี่คือการให้ประชาชนเลือกข้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตราย ที่ไม่สมควรที่จะกระทำ
โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ แห่งความเกลียดพันที่รัฐบาล หว่านไว้กำลังเติบโต เห็นได้จากข่าวการทำร้าย นักเรียนหญิง 2 คนเมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) ที่ไม่ได้ยืนเคารพธงชาติ รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตนเชื่อว่า คนที่ลงมือกระทำนั้นมาจากจิตสำนึก ที่ถูกบ่มเพาะมาจากการสร้างให้คนเกลียดชังกัน และการอภิปรายโดยเฉพาะจากฝั่งวุฒิสภาเมื่อวานนี้ ก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้าหากทุกคนไม่ช่วยกันหยุดยั้ง เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังนี้ก็จะเติบโต ทำให้การใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง เป็นไปด้วยความชอบธรรม