นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.กทม.กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณปี 2564 ว่า การชี้แจงของรัฐมนตรีโดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่มีกลุ่ม 4 กุมาร อยู่นั้นดูเหมือนจะตอบแบบไม่มีกระจิตกระใจในการทำงาน ทำให้น่าเป็นห่วงว่าอาจทำให้ประเทศไทยถูกกดคันเร่งเข้าสู่เรดโซนได้ เพราะดูแล้วรัฐบาลทำงบฯ แบบฝันหวาน เตรียมจะนอนบังคับตัวเองให้ฝันดี ทั้งๆ ที่ไม่สามารถกำหนดฝันได้เพราะปัจจัยลบเต็มไปหมด
นอกจากนี้ จากการอภิปรายของฝ่ายค้านที่ทำการบ้านร่วมกันมาเป็นอย่างดี เจาะตรงเป้า เข้าทุกดอก ตอกทุกประเด็น แต่รัฐมนตรีหลายคนก็ตอบแบบ เลี่ยงบาลี เรียกว่าตอบแบบเสียไม่ได้ ตอบแบบรักษากระทรวงของตนเองไว้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีพรรคร่วมเห็นได้ชัดว่า ไม่ใส่ใจภาพรวมการจัดทำงบประมาณ ไม่ช่วยอธิบายแทนนายกรัฐมนตรีที่โดนจัดเต็มอยู่คนเดียว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า 7 ปีมานี้ทำให้เห็นความอันตรายของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประเทศ เพราะหากจัดทำแบบสุรุ่ยสุร่ายชุดความคิดเดิมๆ เติมขึ้นมาคือเอื้อพรรคพวก แถมไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่สุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว ล้มครืนถึงขั้นล้มละลายได้และอาจต้องใช้บริการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ได้
วันนี้ฝ่ายค้านเป็นห่วงแนวคิด และฝีมือบริหารประเทศ ที่ยังไม่เห็นน้ำยาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมากว่า 7 ปี ตนขอเตือนประชาชนว่าปี 2564 ถึง 2565 จะเป็นช่วงที่น่าจับตา และต้องประคองตนเองอย่างยิ่ง เพราะจากการกู้เงินของรัฐบาลจะมีสูงถึง 58 เปอร์เซ็นต์ ไปแล้วซึ่งเหลืออีกเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ก็จะเต็มวงเงินในการกู้ และยิ่งเห็นการจะทำงบประมาณซึ่งไม่ได้สนับสนุนเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจนักในปีนี้ (2563) และปีต่อไปก็จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถกู้เงินได้อีกต่อไป
"น่าตกใจมาก นายกฯ 28 คนตั้งแต่สยามประเทศ ปี 2475 มาจนปี 2557 ไม่รู้กี่รัฐบาล กู้เงินรวมกันแค่ 2.295 ล้านล้านบาท แต่พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี คนนี้คนเดียวจัดเต็ม กู้มากกว่า นายกฯ 28 คนถึง 3.825 ล้านล้านบาท" นายจิรายุ กล่าว
นายจิรายุ ยังกล่าวอีกว่า ยิ่งสภาพัฒน์ ระบุในเล่มงบ ว่า เศรษฐกิจที่รัฐบาลคาดการณ์ปี 2564 จะโตประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นั้นยังมีความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง เป็นการประเมินเข้าข้างตัวเองเกินไป แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลับออกมาเตือนอีกทางว่า อาจจะติดลบถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ ตนต้องรีบบอกพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้นิ่งนอนใจ เตรียมตัวรับมือ ให้ดีเพราะอาจจะเกิดสึนามิทางเศรษฐกิจ อาจคล้ายกับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะข้าราชการทั้งประเทศ อาจตกงานกว่าครึ่ง เพราะมีตัวอย่างแล้วในช่วงที่ประเทศไม่มีเงินและไม่สามารถกู้ได้ ต้องลดรายจ่ายประจำ ในยุคนั้นก็จะใช้ "ดุลข้าราชการ" นั่นก็คือการเลิกจ้าง ลดองค์กรของรัฐ ทหารลดกำลังพล
เพราะหากปี 2564-2565 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และยังจัดทำงบประมาณแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ประเภทขอ "นอนก่อน...ฉันจะขอฝันดี" ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะขาดดุลงบประมาณแล้ว ก็จะไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว ก็จะต้องไปลดงบประมาณรายจ่ายเพื่อให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังที่ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นอยากให้ นายกรัฐมนตรีฟังประชาชนบ้าง ชาวบ้านพูดกันเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า "วันนี้ผู้ติดเชื้อไม่มี แต่ผู้เป็นหนี้ มีเต็มบ้านเต็มเมือง" เพราะฉะนั้นไม่แปลก ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้รับฉายา "นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา" "บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ" "ผู้นำการก่อหนี้" และยังเป็นผู้จัดงาน มหกรรมก่อหนี้แห่งชาติด้วยงบประมาณ 2564 นี้อีก