พรรคไทยรักษาชาติ ปราศรัยที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ภายในสวนสาธารณะเกาะลอย นำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช แกนนำพรรค และนายประภัสร์ จงสงวน กรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยมีประชาชนร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก รวมถึงนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ที่ได้เดินทางมาให้กำลังใจแกนนำและผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคและร่วมฟังการปราศรัยในเวทีนี้ด้วย

นายจาตุรนต์ ปราศรัยถึงความสำคัญและลักษณะพิเศษของ จ.ชลบุรีว่า เป็นเหมือนภาพจำลองของประเทศ เพราะมีความหลากหลายทั้งโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตร ประมง เป็นแหล่งท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ แต่ที่ผ่านมาได้รับความเดือนร้อนและเสียหายจากนโยบายรัฐบาล คสช.ที่ล้มเหลวในการใช้งบประมาณและไร้อำนาจต่อรองกับต่างชาติ โดยเฉพาะด้านการประมงและการค้าการลงทุน ขณะที่การสาธารณสุข มีความพยายามยกเลิก โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้งที่ประชาชนต่างชื่นชอบและต่างชาติล้วนชื่นชมโครงการนี้ 

ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ ย้ำว่า การแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศต่อจากนี้ จะใช้พฤติกรรมการเลือกตั้งแบบเดิม ที่อิงจากผู้นำท้องถิ่น, หัวคะแนนและระบบอุปถัมภ์หรือสนองบุญคุณนักการเมืองเก่าในพื้นที่ไม่ได้ เพราะหากปล่อยให้ คสช.ที่ดูดตัวอดีต ส.ส.เข้าสังกัดจำนวนมากได้สืบทอดอำนาจ ก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่อไปอย่างน้อยอีก 8 ปี หรือ 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติของ คสช. พร้อมเชิญชวนชาวชลบุรีให้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่เป็นประชาธิปไตย โดยเลือกพรรคไทยรักษาชาติ ที่จะมาสานต่อและต่อยอดนโยบายพรรคไทยรักไทยที่เคยทำสำเร็จมาแล้วเข้าไปบริหารประเทศ

ขณะที่นายสุชาติ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า หากพรรคไทยรักษาชาติได้เข้าไปบริหารประเทศ จะเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราเป็นรายละ 1,000 บาท จะผลักดันบทบาทของสตรีให้มีสัดส่วน 30% ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมถึงในทุกระดับของการบริหารประเทศนับตั้งแต่ อบต.เป็นต้นไป ด้านการศึกษาที่นอกจากการพักหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ยังต้องติดอินเทอร์เน็ต WiFi ทั่วประเทศให้ใช้ได้จริง ด้านการท่องเที่ยวและต่างประเทศจะให้วีซ่านักท่องเที่ยวฟรี ไม่ต้องเก็บเงินเมื่อเข้าไทย มุ่งหวังรายได้จากเม็ดเงินการท่องเที่ยวเป็นหลัก ยกเว้นประเทศที่มีปัญหาเรื่องอาชญากรรมหรือการก่อการร้ายที่ต้องตรวจสอบเข้มงวด

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุถึงสถานะที่คลุมเครือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ซึ่งนายณัฐวุฒิยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน เพราะนอกจากมีและใช้อำนาจรัฐแล้ว ยังสวมชุดราชการไปไหนมาไหนได้ ไม่เช่นนั้นก็มีเพียง "ยามเฝ้าร้านทอง" ที่สวมเครื่องแบบคล้ายราชการแต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่พล.อ.ประยุทธ อาจสับสนตัวเองเท่านั้น และเมื่อมีคนทักท้วงว่าเพจเฟซบุ๊ก ระบุเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็เปลี่ยนเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครวิจารณ์ได้

ส่วนการตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการสรรหา ส.ว.นั้น นายณัฐวุฒิ ตั้งข้อสังเกตว่าตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่พล.อ.ประวิตรเป็นอย่างชัดเจน และการมี ส.ว.สรรหาจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ พร้อมย้ำว่าฝ่ายผู้มีอำนาจมุ่งแต่เอาเปรียบทางการเมืองเพราะอยากครองอำนาจต่อไปเท่านั้น คนไทยที่ต่างรู้เท่าทัน จึงจำเป็นต้องเลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเข้าไปจัดตั้งรัฐบาล ไม่ให้กลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบันสืบทอดอำนาจต่อไปได้