ไม่พบผลการค้นหา
ครอบครัว ชัยภูมิ ป่าแส จัดงาน “ยกเตาเล่าเรื่องชัยภูมิ รำลึกครบรอบ 6 ปี วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ” พร้อมชวนจับตาอีก 6 เดือนข้างหน้าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้ ทบ.จ่ายค่าเยียวยาตามที่ฟ้องไปหรือไม่ พร้อมลั่น จะต้องไม่มีลูกหลานของชาวบ้านคนไหนต้องถูกวิสามัญฯ แบบนี้อีก

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 ที่ลานโบสถ์ หมู่บ้านกองผักปิ้ง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดงาน “ยกเตาเล่าเรื่องชัยภูมิ รำลึกครบรอบ 6 ปี วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส” เยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมเยาวชนชาวลาหู่ โดยมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก 

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมกันเดินทางไปที่หลุมศพของชัยภูมิเพื่อวางดอกอ่อเวะ ซึ่งเป็นดอกไม้แห่งความคิดถึงของชาวลาหู่ เพื่อรำลึกถึงการเสียชีวิตของชัยภูมิ และลูกศิษย์ของชัยภูมิได้แสดงเต้นจะโก่ ซึ่งเป็นการแสดงศิลปะวัฒนธรรมของชาวลาหู่ มีการแสดงดนตรีจากครอบครัวของชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีการฉายหนังสั้นเรื่อง See You Again โดยมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดนอีกด้วย และกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์เด่นภายในงาน คือ กิจกรรมยกเตาเล่าเรื่องชัยภูมิ ที่ผู้เข้าร่วมงานนำเตาหมูกระทะมาจากบ้านและมาล้อมวงกินหมูกระทะเพื่อมาพูดคุยรำลึกถึงชัยภูมิ

ยุพิน ซาจ๊ะ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษชนจากกลุ่มด้วยใจรักและผู้ดูแลของชัยภูมิ กล่าวเปิดงานรำลึกถึงชัยภูมิว่า การต่อสู้ของเราตลอด 6 ปีที่ผ่านมาก็เพื่อไม่ให้หทารหรือเจ้าหน้าที่ราชการคนไหนมาทำอะไรกับกลุ่มชาติพันธุ์ของเราโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่มากระทำเหมือนเช่นเดียวกับชัยภูมิที่วิสามัญฆาตรกรรมก่อนแล้วค่อยไล่ให้พวกเราไปหาความยุติธรรม ซึ่งการที่พวกเราลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมไม่ใช่ให้กับชัยภูมิเพียงเท่านั้น แต่เราเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพวกเราชาติพันธุ์ทุกคน วันนี้อยากให้ทุกคนมาร่วมรำลึกถึงชัยภูมิร่วมกัน และมาร่วมกันลุ้นคำตัดสินของศาลฎีกาว่าจะพิจารณาให้กองทัพบกชดใช้และเยียวยาค่าเสียหายให้กับครอบครัวของชัยภูมิหรือไม่ ซึ่งศาลน่าจะมีคำพิพากษาในเร็วๆ นี้

รำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแสรำลึก 6 ปี ชัยภูมิป่าแส

ขณะที่ไมตรี จำเริญสุขสกุล นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มด้วยใจรักและผู้ดูแลของชัยภูมิ กล่าวถึงการจัดงานรำลึกถึงชัยภูมิในครั้งนี้ด้วยเช่นกันว่า ชัยภูมิคือลูกหลานของเราที่อยู่ในชุมชน ถ้าเราไม่เข้าใจไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องชัยภูมิสักวันหนึ่งก็อาจจะเกิดกับลูกหลานเราก็ได้ ตนอยากให้คดีของชัยภูมิเป็นคดีสุดท้ายที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าทุกคนในหมู่บ้านเกิดความกลัว แต่ก็อยากให้ทุกคนสู้เพราะเราคือลาหู่ เราคือพี่น้องชาติพันธุ์ถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะมาช่วยเรา

ด้านชานนท์ ป่าแส น้องชายของชัยภูมิ กล่าวรำลึกถึงชัยภูมิด้วยเช่นกันว่า ตั้งแต่ที่ตนเสียพี่ไปนั้นชีวิตคอรบครัวของเราก็อยู่อย่างยากลำบากมาก พอพี่จากไปตนก็ต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาดูแลพ่อแม่ จนพ่อเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังพ่อเสียตนก็ต้องออกไปหางานทำที่ต่างจังหวัดเพื่อมาดูแลแม่ให้ได้ ซึ่งตนพร้อมที่จะทำหน้าที่ แต่สิ่งที่ตนอยากเห็นมากที่สุดคือภาพของพี่ชัยภูมิได้รับความยุติธรรมและตนอยากเห็นในอีก 6 เดือนข้างหน้าที่ศาลฎีกาจะพิพากษาคดีอย่างไร

ด้านปริตอนงค์ ถวัลย์วิวัฒนกุล จากกลุ่มดินสอสีกล่าวว่า ชัยภูมิเป็นคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนเมืองอย่างเรา และถ้าเรานึกถึงชัยภูมิ เราจะนึกถึงกลองจะโก่ที่น้องได้บุกเบิกรื้อฟื้นวัฒนธรรมของชุมชนขึ้นมาใหม่ และชัยภูมิได้นำกลองแจโก่ไปแสดงที่พื้นที่จะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านที่พื้นที่จะนะตื่นเต้นกับกองจะโก่กันมาก และหากให้นึกถึงชัยภูมิอีกหนึ่งบทบาทเรานึกถึงเรานึกถึงความเป็นศิลปินของน้องชัยภูมิถ้าทุกวันนี้น้องยังอยู่น้องคงจะได้สร้างผลงานทางด้านศิลปะที่มีประโยชน์กับสังคมอีกมากมาย 

ขณะที่สุธีรา เปงอิน ตัวแทนจาก Protection International (PI) กล่าวถึงชัยภูมิและแนวทางในการต่อสู้คดีของชัยภูมิว่า ภาพทรงจำที่เห็นชัยภูมิ  เห็นถึงความรักและมุ่งมั่นของแม่นาปอยและครอบครัว แม้เธอจะผ่านความสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักจากคมกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เธอกลับเปลี่ยนความสูญเสียเป็นพลังในการที่จะเดินหน้าตามหา เรียกร้อง และยังส่งพลังให้ครอบครัวของของนายอะเบ แซ่หมู่ ลุกขึ้นสู้ เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ของชัยภูมิประมาณ 1 เดือน ซึ่งขณะนี้ครอบครัวของอะเบก็ได้รับการชดเชยและเยียวซึ่งอย่างน้อยๆเป็นสิ่งที่รัฐต้องทำ 

ส่วนทางด้านคดีของชัยภูมิ ตั้งแต่ปี 2562 ครอบครัวและทีมทนายความของชัยภูมิ ยื่นฟ้องคดีต่อกองทัพบกในฐานะผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญฯชัยภูมิในคดีละเมิด ตาม พรบ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ตั้งแต่ศาลชั้นต้นถึงปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการรอให้ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา ซึ่งที่ผ่านมาครอบครัวและทีมทนายเคารพในคำตัดสินของศาล แม้จะมีความเห็นแย้งต่อคำพิพากษาในบางประเด็น เช่น ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นการกระทำโดยป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นการการกระทำละเมิดต่อชัยภูมิ และกองทัพจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่ในความเป็นจริง บาดแผลที่ชัยภูมิได้รับการอาวุธสงครามจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงเป็นอย่างมากและถูกจุดสำคัญจนเป็นเหตุให้ชัยภูมิถึงแก่ความตาย  หรือ ทีมทนายตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นเรื่องเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดเหตุจากการตามผิดธรรมชาติ นั้นไม่เป็นตามกระบวนกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 150 ต้องมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ แพทย์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เป็นต้น ในการตรวจตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุในทำการชันสูตรและต้องมีบันทึกรายละเอียดที่เกิดขึ้น แต่ในกรณีนี้กลับเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกลับเป็นผู้ที่เข้ามาในจุดที่เกิดเหตุโดยทันที ก่อนที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะมา  หรือประเด็นที่เจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าชัยภูมิกล่าวหาว่าพบยาเสพติดในรถของชัยภูมิ ซึ่งผลการตรวจ DNA ทั้งในของกลาง และฝาหม้อกรองในรถยนต์ก็ไม่พบลายนิ้วของชัยภูมิแต่อย่างไร เป็นต้น

ครอบครัว เพื่อน และทีมทนายก็ยังตามหาและเรียกร้องให้ กองทัพบกเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญ น่าเชื่อถือ และที่มีคุณค่าเพื่อพิสูจน์ความจริงและความยุติธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ทั้งๆที่มีรายงานระบุว่ามีการทำสำเนากล้องวงจรปิดไว้แล้วก่อนที่จะส่งให้พนักงานสอบสวน แต่จนถึงปัจจุบันภาพเหตุการณ์ในกล้องวงจรปิดก็ยังไม่ปรากฎในคดีหรือในสาธารณะแต่อย่างใด

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 ชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ วิสามัญฆาตกรรม โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์ของชัยภูมิที่เดินทางมาพร้อมกับเพื่อนผ่านด่านตรวจบริเวณดังกล่าว ก่อนที่ชัยภูมิจะถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต

ทั้งนี้วันที่ 17 มี.ค. 66 จะครบ 6 ปี ที่ชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตรกรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัว เพื่อนๆ และทีมทนาย ได้ต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับชัยภูมิมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้กองทัพบกเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์วันเกิดเหตุไว้ได้ รวมถึงการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากกองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัด ที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ถึงแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกฟ้องให้กองทัพบกไม่ต้องชดใช้ให้กับครอบครัวชัยภูมิ แต่ล่าสุดศาลฎีกาได้รับคดีนี้เข้าสู่การพิจราณาและจะมีคำพิพากษาประมาณ 6 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์และคืนความยุติธรรมให้ครอบครัวชัยภูมิ ป่าแส อีกครั้ง