วันที่ 10 พ.ย.2565 ที่พรรคเพื่อไทย จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ หรือทนายบิลลี่ อดีต ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล เดินทางเข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กทม. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคเพื่อไทย และแกนนำพรรคเพื่อไทยภาคกทม. พิชัย นริพทะพันธุ์, วิชาญ มีนชัยนันท์, เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช และ วราวุธ ยันต์เจริญ ให้การต้อนรับ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราจะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ของพรรคเพื่อไทย เป้าหมายที่สำคัญคือ ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ รวมถึงเข้าใจในพื้นที่ของพี่น้องประชาชน และสามารถเป็นบุคคลสามารถนำเอาแนวทางของพรรคไปสื่อสาร และนำปัญหาของประชาชนมาสะท้อนกับทางพรรคเพื่อไทยได้
นพ.ชลน่าน เสริมว่า จิรวัฒน์เป็นบุคคลที่ตนเคยร่วมทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับกฎหมายหลายฉบับที่เป็นที่สำคัญเช่น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเพิ่มเติม ในบทบาทกรรมาธิการตนก็ได้ให้ความสนใจ และบทบาทในสภาก็โดดเด่น พรรคเพื่อไทยต้องการคนมีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะที่จะมาสมัคร ส.ส. เพราะเป็น 1 ใน 3 กลไก ที่จะได้รับความไว้วางใจของประชาชนเพื่อให้พรรคเพื่อไทยมาทำหน้าที่นิติบัญญัติ หรือแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ส่วนเรื่องของการเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นั้น ต้องอยู่ในกระบวนการสรรหาของทางพรรค และทางกฎหมายต่อไป
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า อีกกลยุทธ์หลักคือ นโยบาย สำหรับพรรคเพื่อไทยทุกอย่างเป็นนโยบายที่เคยทำสำเร็จ และต้องต่อยอดตตอบสนองกับประชาชนให้ทันกับเหตุการณ์มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ต้องเติมเข้าไป โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่อื่น และพื้นที่ต้องเข้มแข็ง ผู้สมัครต้องเข้าถึงพี่น้องประชาชน มีเครือข่ายเข้มแข็งในพื้นที่ อีกปัจจัยคือ กระแสความนิยมที่ตอบรับต่อสถานการณ์ต่างๆ ค่อนข้างมีผลอย่างมาก
ประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้เป็นข่าวดีของพรรคเพื่อไทย ถ้าสังเกตจะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาสมัครสมาชิกกันเยอะมาก จิรวัฒน์เป็นหนึ่งในคนที่งานในสภามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และงานพื้นที่ก็เป็นที่พอใจของพี่น้องประชาชน
ด้านจิรวัฒน์ เผยถึงความรู้สึกว่า ขอบคุณทางหัวหน้าและเลขาธิการพรรคที่ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ไม่คาดฝันว่าการก้าวเข้ามาที่นี่จะได้รับการต้อนรับที่ดี ต้องขอขอบคุณพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ที่ตนเคยมีประสบการณ์ และบริหารงานด้านการเมืองในสภา ไม่ว่าจะในนามกรรมาธิการสามัญคุ้มครองผู้บริโภค หรือกรรมาธิการสามัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และได้มีโอกาสอภิปรายในสภา อยากขอบคุณอย่างใจจริง ที่ทำให้มีบทบาท และได้มีส่วนหนึ่งในการเห็นพัฒนาการทางการเมืองของไทย
จิรวัฒน์ กล่าวอีกว่า กระบวนการเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นั้น คงเป็นกระบวนการของคณะกรรมการบริหารพรรค และคณะกรรมการสรรหาของพรรค วันนี้เป็นประชาชนคนธรรมดา หรือเคยเป็นอดีต ส.ส. ที่เคยทำงานในพื้นที่ ต้องกล่าวว่า ในมุมมองที่มองเข้าไปยังพรรคเพื่อไทยพบว่า พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองที่พิสูจน์ตัวเองมากว่า 20 ปี ตั้งแต่ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมือง เช่น รัฐประหาร หรือการใช้กระบวนการยุติธรรมเข้าแทรกแซง แต่ชัดเจนแล้วว่า พรรคเพื่อไทยยึดมั่นในประชาธิปไตย
ประการต่อมา ในห้วงเวลา 15 ปี นับแต่รัฐประหาร 2549 ประสบการณ์ร่วมกันของประชาชนและนักการเมือง สิ่งที่พบคือ เราพบกับรัฐบาลทหาร และในการเลือกตั้งครั้งหน้าใครจะมาเป็นผู้นำ หรือเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคการเมือง ต้องเป็นที่ยอมรับในทางการเมือง และของพี่น้องประชาชน พรรคการเมืองนั้นต้องจัดตั้งรัฐบาลโดยให้มีความหวังของพี่น้องประชาชน
จิรวัฒน์ ระบุอีกว่า ตนมีความเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยในวันก่อนกับวันนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน สิ่งที่เคยมองจากคนภายนอก และเฝ้าดูพรรคเพื่อไทยที่วันนี้มีการรีแบรนด์ดิ้ง มีความทันสมัย เข้าใจคนรุ่นใหม่ และเข้าใจคนรากหญ้า หรือคนชุมชนเมือง หวังอย่างยิ่งว่า วันนี้สมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพรรคนี้ต้องตอบโจทย์ให้พี่น้องประชาชนในเรื่องการกินดีอยู่ดี
"ขอบคุณไมตรีจิตของพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล เจอกันก็ยังพูดคุย และทักทายกันได้ รวมถึงขอบคุณเพื่อไทย ซึ่งมีหลายคนที่ผมติดตาม และเห็นว่ามีประสบการณ์ วันนี้ออกมาเป็นบุคคลภายนอก เราเคยทำงานในพรรคฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลก็เป็นสหายร่วมกัน แต่ความนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้า อะไรคือสิ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ" จิรวัฒน์ กล่าว
เมื่อถามว่า จุดยืนเรื่องการแก้ไข มาตรา112 ของพรรคเพื่อไทยเป็นจุดที่ทำให้ จิรวัฒน์มองว่าตรงกับตนเองหรือไม่ จิรวัฒน์กล่าวว่า ไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่คิดมาสักพักแล้วว่า จะได้เข้ามาพรรคเพื่อไทยมาทำงาน และมีทีมงานที่เป็นวัยรุ่น ส่วนประเด็นการแก้ไขกฎหมายมันมีกระบวนการของมันในทุกมาตรา ดังนั้นถ้าท้ายที่สุดพรรคการเมืองเห็นตรงกัน คิดว่าการแก้ไขกฎหมายก็ต้องว่าไปตามเสียงข้างมาก