'ลำเพลิน วงศกร' นักร้องลูกทุ่งอีสาน ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว 'วอยซ์ออนไลน์' เล่าถึงเส้นทางการเป็นศิลปินว่า ตั้งแต่เด็กเป็นคนชอบร้องเพลง และชอบเล่นกีฬา แต่ว่าเป็นคนขี้อายและไม่กล้าแสดงออกทางเรื่องการร้องเพลง อะไรที่เด็กๆ ยุคนี้กล้าแสดงออก ในยุคนั้นจะแตกต่างไม่กล้าแสดงออก
จุดเริ่มต้นมันมีอยู่ว่า ตัวเองอยู่กับตากับยาย ได้ฟังเพลงทุกวัน ฟังหมอลำทุกวัน เพลงทั่วไป มันก็เกิดการซึมซับ ตัวเองร้องเพลงตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน จนมาหยุดร้องเพลงอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะต้องการค้นหาตัวเองทางด้านกีฬา ยอมรับว่าร้องเพลงมันเป็นความคิด แต่ความฝันจริงๆ คือเป็นทหาร
"ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นทหารแล้วมันเท่ครับ" ลำเพลิน กล่าวและว่า ตัวเองเป็นคนเรียนไม่เก่ง เลยไม่กล้าไปสอบแข่งขันกับใคร แม้กระทั่งร้องเพลงก็ไม่กล้าไปสอบ จึงตัดสินใจจะไปเป็นนักมวย นักฟุตบอล
ลำเพลิน เล่าต่อว่า จุดพลิกผันจริงๆ คือ วันหนึ่งมีเวทีมวยกับเวทีหมอลำอยู่ข้างๆ กัน ตอนนั้นใช้ชื่อ 'แจ็กสยาม ช.ก้องกังวาล' พอต่อยมวยชนะเสร็จแล้ว ได้รางวัลประมาณ 300-400 บาท แม่ก็บอกว่า "เอ้ย ไปร้องเพลงให้แม่ฟังหน่อย.. ไปร้องเพลงให้แม่ดูหน่อย เดี๋ยวแม่จะให้ทิป" ก็เลยขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีหมอลำในงานวัด ข้างๆ เวทีมวย ต่อยมวยเสร็จ มาร้องเพลงต่อ
"ความรู้สึกตอนนั้นคือ คนดูเขาชอบผม เขามีความสุขกับผมในการร้องเพลง ในการได้ดูผม ได้ฟังผมร้องเพลง มากกว่าการที่ผมได้ต่อยมวย ผมก็เลยคิดว่า หรือว่า ตอนนั้นมีความคิดว่า หรือว่าเราถูกสร้างมาเป็นนักดนตรี เป็นนักร้อง เป็นศิลปิน ทางนี้ น่าจะรุ่งกว่า ผมก็เลยลองเปิดใจอีกครั้งหนึ่ง กับการที่จะตั้งใจว่าอยากเป็นนักร้องจริงๆ ซึ่งต่างกับต่อยมอยที่คนดูเขาก็แฮปปี้เฉพาะตอนเราชนะ พอตอนเราแพ้เขาก็ไม่แฮปปี้กับเรา ถ้าเราชนะเราก็คือพระเอก แต่ถ้าเราแพ้เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราแพ้ไป"
เขาเล่าว่า ช่วงเข้ามัธยม ในคาบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ครูสอนให้ทำโปรแกรมอะไรต่างๆ ตนก็เอาเวลาไปเปิดอินเทอร์เน็ตศึกษาชีวิตของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็น มนต์แคน แก่นคูณ ไผ่ พงศธร เป็นต้น
"ครูเขาสอน แต่ครูเขาไม่ได้เดินมาดูครับ มันเป็นห้องๆๆ" ลำเพลิน เล่าติดตลกว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครูภาษาอังกฤษเห็นหน้าผม เขาบอกว่าไม่ต้องมาเรียนหรอก เดี๋ยวมันรบกวนเพื่อน เพราะเวลาผมชอบเคาะโต๊ะเล่นรวมกับเพื่อนๆ แล้วก็เป็นเด็กหลังห้องครับ นั่งอยู่หลังห้อง เพราะไม่ชอบพวกวิชาการ และทฤษฎีก็ไม่ค่อยเก่ง แต่ชอบเล่นดนตรีมากกว่า"
ครูบอกต่ออีกว่า "เธอก็ไปเล่นดนตรีของเธอเถอะ" ตนไม่ได้คิดว่าเป็นคำดูถูก คิดว่าเป็นแรงผลักดัน เพราะครูคนนี้ทำให้เอาจริงเอาจังกับเรื่องดนตรี วันนั้นก็เลยตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วก็เข้าไปซ้อมดนตรี
หลังจากนั้นลำเพลินใช้เวลาอยู่กับดนตรี 6 ปี ตั้งแต่ ม.1-ม.6 เข้าไปเล่นดนตรีตอนเที่ยงทุกวัน ลำเพลินกล่าวทิ้งท้ายว่า "เขาจะเรียนภาษาอังกฤษกัน แต่ผมเรียนไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน"
ต่อมาช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ลำเพลินเจออีกจุดเปลี่ยนในชีวิต เพราะช่วงปี 1 วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตนเองลำพองมาก คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไลน์ทุกไลน์ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ครูถ่ายทอดให้หมด ไปสอบก็ทำได้ทุกอย่าง แต่พอไปเล่นดนตรีกับเพื่อน เหมือนได้มาเจอของจริง เมื่อก่อนเก่งอยู่ที่โรงเรียนเก่า แต่ในมหาวิทยาลัย รู้ตัวเลยว่าต้องฝึกฝนตัวเองอีกมาก การที่จะเป็นศิลปินไม่ใช่เรื่องง่าย
ช่วงเวลานั้นลำเพลิน ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเป็นศิลปินให้ได้ เริ่มถ่ายคลิปวิดีโอ อัดเสียง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ผ่านโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ก่อนเผยเเพร่ลงในโซเชียลมีเดียจนกระทั่งวันหนึ่งก็ประสบความสำเร็จในขั้นแรก มีคนแชร์ต่อมากมาย เข้าตาผู้ใหญ่จากแกรมมี่โกลด์ ติดต่อให้ไปสกรีนเทสต์เป็นศิลปิน และได้อยู่ค่ายสังกัดแกรมมี่โกลด์ จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว
เมื่อได้เข้ามาเป็นศิลปินสังกัดแกรมมี่ โกลด์ ตนก็ได้รับการอบรมเพื่อที่จะเป็นศิลปิน หลายๆ เรื่อง เช่น ศิลปินว่าควรเป็นตัวเอง แต่ต้องระวังเรื่อง การใช้คำพูด หรือว่าอะไรที่มันไปเสียดสีคนอื่น เพราะว่าเราเป็นคนสาธารณะ รวมทั้งมารยาททางสังคม มีอยู่ครั้งหนึ่งลำเพลินไปทำกิจกรรมเก็บขยะกับ โตโน่-ภาคิน ลำเพลินได้รับแรงบันดาลใจมาเรื่องหนึ่ง จำได้ว่าโตโน่ บอกว่า "เราเป็นเหมือนตัวแทนของคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนคน ที่เขาอยากมาอยู่จุดๆ นี้ แต่ว่าเขาอาจจะมาไม่ถึง ก็ฝากเราเป็นตัวแทน คำว่าตัวแทนก็คือเป็นทุกอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม ถึงแม้ว่าเราจะทำได้ไม่ถึงที่สุด แต่ก็ให้มันมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้" ลำเพลิน ยึดเอาคำนี้มาเป็นคติในการทำงานตลอดมา
ลำเพลิน ยอมรับว่า เมื่อก่อนกับตอนนี้แตกต่างกันพอสมควร เพราะตอนอัดคลิป ทำโดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะดัง ไม่มีแผน ไม่มีอะไร คืออัดตามอยากทำเฉยๆ แต่การทำเพลงในบริษัทคือมันต้องมีแผนในการทำ แล้วก็ต้องหวัง หวังว่าเพลงนี้มันจะยังไง อาจจะปล่อยในช่วงที่คนจะฟังเพลงประมาณไหน นี่คือมีการวางแผน แต่ว่าในข้อแตกต่างมันก็มีอะไรที่มันคล้ายๆ กัน คือ ได้ทำงานที่มันเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยเพลงมาบ้าง หรือว่าได้แต่งเพลงเองบ้าง
เรื่องที่บริษัทซีเรียสมาก คือ เรื่องหุ่น เพราะตนเองเป็นคนอ้วนเร็ว ปัจจุบันพยายามควบคุมไม่ให้บวมมากไปกว่านี้ ส่วนเรื่องการเป็นตัวอย่างให้คนในสังคม ก็ต้องไม่หัวร้อน ไม่สร้างประเด็นแตกแยก อาจจะมองแตกต่างได้ แต่ห้ามแตกแยก ทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าต้องปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง
เมื่อถามถึงเรื่องความสุข ลำเพลิน เปิดเผยว่า ความสุขก็เปลี่ยน อย่างที่เปลี่ยนชัดเจนคือครอบครัวมีความสุขมากขึ้น แต่เสียดายว่าในช่วงที่เราเป็นศิลปิน ตาไม่ได้อยู่ด้วย เพราะตนเองผูกพันกับตายายมาก เขาเป็นคนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตามยังดีใจที่ได้ดูแลยาย ยายก็ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่
"คือยายก็เขาลำบากมาเยอะแล้ว ผมก็เลยอยาก อยากให้เขาแบบอยู่สบายบ้าง ก็เลยเรียกว่าสร้างบ้านให้ยายถูกแล้ว มันก็เป็นความฝันตั้งแต่ที่ผมเลือกที่จะเป็นศิลปิน ว่าสักวันหนึ่งผมก็ต้องมีบ้าน มีรถเหมือนเขา มันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่แล้ว"
"ถ้าจะพูดจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองดังเลยครับ ผมคิดว่าผมเป็นศิลปินเฉพาะตอนผมอยู่บนเวทีแค่นั้น เวลาลงมาใต้เวทีผมก็บอกอยู่ว่าถ้าใครอยากถ่ายรูปกับผมก็มาเลย มาถ่ายรูปกับผมได้ หรือว่า อยากไปเล่นกับผมก็ไปได้นะที่บ้านผม ถ้าผมได้กลับบ้าน ผมจะชอบชวนเพื่อน ชวนอะไรมาทำกับข้าว นั่งเล่นด้วยกันเหมือนเดิม เพราะว่า ความสุขของเราที่จริงมันก็อยู่ตรงนี้ มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เรายังไม่เป็นศิลปินแล้ว แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนมันไปตามชื่อเสียงตามเงินทองอะไรของผม" ลำเพลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาเล่าต่อว่า ความสุขของตนมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ที่จริงความสุขของเรา ความสำเร็จมันเริ่มเหมือนเข็มนาฬิกา มันก็วนมาเหมือนเดิม จุดเริ่มต้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความสุข เพราะว่าเราได้เริ่มต้น ท้ายสุดแล้ว เราก็กลับมาเหมือนเดิม เป็นเหมือนเดิม นั่นแหละคือความสุขของเรา คือจุดเริ่มต้น