15:00 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมารณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรี บริเวณหน้าร้านขายกัญชา ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเซนต์โยเซฟ คอนเวนต์ ซึ่งผู้ปกครองของนักเรียนหลายคนให้การสนับสนุนและชื่นชม ชูวิทย์ บางส่วนขอถ่ายรูปและรับของที่ระลึกต่อต้านกัญชาเสรีด้วย
ด้านผู้สื่อข่าวถาม ชูวิทย์ ถึงการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลในตอนนี้ ชูวิทย์ มองว่า ขณะนี้เป็นช่วงก่อนการฮันนีมูนของพรรคร่วมรัฐบาล หรือช่วงเกี้ยวพาราสี การที่พรรคร่วมรัฐบาลสามารถรวบรวมได้ 313 เสียง นั้น ถือว่าเหมาะสม ซึ่งฝ่ายค้านจำเป็นต้องมีจำนวนพอสมควรในการต่อสู้ในสภาฯ แต่หากพรรคร่วมรัฐบาลไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 อีก 70 เสียง กลายเป็น 380 เสียง ก็อาจเข้าข่าย “เผด็จการรัฐสภา” ได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยพรรคไทยรักไทย ปี 2547
ชูวิทย์ บอกด้วยว่า ก่อนที่จะไปถกกันเรื่องการรวมเสียงจาก สว. ประเด็นสำคัญตอนนี้อยู่ที่เรื่อง ม. 112 เพราะหลายพรรคการเมืองมองว่า เรื่องนี้ไม่ควรเป็นเงื่อนไขภายใน MOU ของการร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ดี ถ้าพรรคก้าวไกลยืนยันจะเดินหน้าให้มีการแก้ไข ม. 112 ให้ได้ ก็จะต้องไปต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในสภาฯ ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปดูกันในอนาคต แต่ในเมื่อเป็นแนวทางการทำงานของพรรคก้าวไกล ตนก็ไม่สามารถก้าวล่วงได้
ทั้งนี้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในการโหวตให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่ฃสำคัญ คือการเป็นนายกฯ ของทุกฝ่าย ต้องให้ทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ใช่ไปบีบคั้นหรือแสดงท่าทีกดดันโดยเฉพาะ ส.ว. เอง ก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงกระบวนการประชาธิปไตย และคะแนนเสียงที่เกิดขึ้น เชื่อว่า เรื่องนี้จะจบลงได้ หากทุกฝ่ายยอมถอยด้วยการประนีประนอม
ส่วนการดำเนินการของพรรคก้าวไกลในการทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชน ตนจะขอเป็นคนกลางในการพูดคุยประสานงาน โดยเปิดเผยว่าได้นัดหมายแกนนำพรรคก้าวไกลพูดคุย ในวันอังคารที่ 23 พ.ค. นี้ เพราะคิดว่าทุกฝ่ายต้องปรับตัว พรรคก้าวไกลจำเป็นต้องถอยในเรื่องนี้ เพื่อเดินหน้าเป็นนายกฯ ขณะที่ฝ่ายอื่นก็ต้องถอยเช่นกัน เป็นการประนีประนอมระหว่างกัน ตนเชื่อว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เพื่อให้คนมองประเทศชาติและสถาบันเป็นสากล ยืนยันว่า สิ่งที่ตนรับรู้มาแตกต่างจากแนวคิดอนุรักษนิยมตกขอบ
ส่วนการที่พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ไม่สนับสนุนและไม่โหวตนายกฯ ให้กับพรรคที่เสนอแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ชูวิทย์ มองว่า คนพวกนี้แพ้แล้วควรเงียบไปดีกว่า พรรคภูมิใจไทยควรที่จะเงียบ ซึ่งคะแนนก็ไม่ได้แพ้เพราะได้ ส.ส. เยอะกว่าเดิมถึง 70 คน ซึ่งจะต้องเข้าใจว่า พรรคภูมิใจไทยถูกดีดให้ไปเป็นฝ่ายค้าน ที่จะไม่โหวตให้อยู่แล้ว แต่หาคำพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี จึงใช้เรื่องม. 112 มาอ้าง จึงขอตั้งคำถามว่า หากไม่มีเรื่องม. 112 พรรคภูมิใจไทยจะยอมโหวตให้หรือไม่
อีกทั้ง หากพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่า ถ้าไม่มีเรื่องม. 112 จะโหวตให้ ตนเองจะไปบอกพรรคก้าวไกลว่า ยังไม่ต้องทำเรื่องดังกล่าว เพราะ ประเทศชาติยังมีอีกกว่าพันเรื่องที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเรื่องอะไรที่มากนัก และเป็นเรื่องที่จะต้องไปเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยปัจจุบันเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ และเรื่องอื่นๆ อีกเยอะแยะที่รอพรรคก้าวไกลอยู่
ต่อกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยประกาศว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม จะส่งผลกระทบอะไรกับประเทศหรือไม่ ชูวิทย์ ระบุว่า ตนในฐานะคนไทยยินดีด้วยกับนายทักษิณหากจะได้เดินทางกลับมา เพราะ ทักษิณเป็นคนไทย เมื่อเดินทางไปต่างประเทศก็ย่อมคิดถึงประเทศไทย พร้อมแนะนำให้ทักษิณเดินทางกลับมา และตนก็คิดเหมือนกับ ทักษิณ ว่า มันมีสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอยู่ และมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลได้ดูแลกระทรวงยุติธรรม จะทำให้ ทักษิณ ได้ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งได้
“คุณทักษิณกลับมาเถอะครับ คุณทักษิณพูดหลายครั้ง ก็อยากให้คุณทักษิณกลับมา เพราะทุกคนเข้ามาสู่กระบวนการ และมีการนิรโทษกรรม ซึ่งสิ่งนี้จะต้องปรากฎอยู่ใน MOU เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการ” ชูวิทย์กล่าว
เมื่อถามว่าการที่ ชูวิทย์ บอกว่าจะขอคุยกับพรรคก้าวไกล อาจจะเข้าข่ายการครอบงำพรรคเหมือนที่มีคนเคยไปร้องให้ตรวจสอบหรือไม่ ชูวิทย์ กล่าวว่า จะร้องเรื่องอะไร เพราะเป็นการคุยกันของประชาชนกับพรรคการเมือง และตนเองก็เป็นประชาชน การที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปร้องคนอื่นจะต้องเข้าใจว่าการที่ถูกทำร้ายร่างกาย เพราะพฤติกรรมของ ศรีวุรรณ “เสือกได้ทุกเรื่อง”
ซึ่งคนเราควรจะเสือกแค่บางเรื่อง แต่หากเสือกทุกเรื่องแล้วมีคุณอยู่เพียงคนเดียว ถึงจะต้องทำให้เป็นองค์กรจริงๆ ไม่ใช่เสียงของคุณเพียงคนเดียว เพราะการกระทำของคุณทำให้สังคมปั่นป่วน