ไม่พบผลการค้นหา
เร่งเดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หวังแล้วเสร็จภายใน 1 ปี พร้อมขอ ส.ว.อย่ายึดติดอำนาจ ร่วมหนุนแก้รัฐธรรมนูญ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และทำให้เงื่อนไขในการแก้ไขรัฐธรรมนูญง่ายขึ้น  

พร้อมทั้งเห็นว่าเงื่อนเวลาที่ทำอยู่นั้นอาจจะช้าเกินไป เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันจากการประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ภาวะการเสื่อมศรัทธาในรัฐบาลและภาวะที่เกิดขึ้นในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ หากต้องการผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศไทยนั้นต้องมีเงื่อนเวลาที่เร็วกว่านี้ โดยมองว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถย่นระยะเวลาให้เร็วกว่านี้ได้ 

ดังนั้นทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เห็นว่าระยะเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญนั้นไม่ควรจะเกิน 7-8 เดือน รวมเบ็ดเสร็จไม่เกิน 1 ปี เพราะมองว่า ในการยกร่างนั้นมีรัฐธรรมนูญที่เป็นต้นแบบอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากมี ส.ส.ร.แล้วในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จึงไม่ควรเกิน 7 -8 เดือน  

อย่ามองเป็นการตีเช็คเปล่า

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.ออกมาคัดค้านการตั้ง ส.ส.ร.เพราะเปรียบเสมือนเป็นการตีเช็คเปล่านั้น ส่วนตัวมองว่าที่ผ่านมามีการตีเช็คเปล่าโดยที่ไม่มีการยึดโยงกับประชาชนมาจำนวนมาก หลายเหตุการณ์ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา การให้มี ส.ว.ลากตั้ง 250 คน เหล่านี้คือการตีเช็คเปล่าของจริงและคนที่คิดเช่นนี้ คือคนที่มองไม่เห็นความสำคัญของประชาชน แต่การตั้ง ส.ส.ร.จะมาจากประชาชนเปรียบเสมือนการตีเช็คของจริงเต็มจำนวน ในการกำหนดทิศทางของประเทศ  

ด้าน โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงาน พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมของคณะกรรมาธิการนั้นมีการหารือกันในเรื่องการตั้ง ส.ส.ร.และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกสังคมกล่าวหาว่าร่างโดยคณะรัฐประหารแม้จะมีการประชามติ แต่ก็เป็นประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม  

ดังนั้นความขัดแย้งแตกแยกทั้งหลาย เกิดจากกติกาใหญ่ที่จะใช้กับทุกคนนั้นไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง หากทำให้กติกาดังกล่าวมาจากประชาชนเลือกตั้งกันมา แล้วนำมายกร่างเสร็จกลับไปประชามติโดยประชาชน หากเห็นชอบจะเป็นกติกาแรกของประเทศไทย โดยมองว่าทางออกดังกล่าวนี้ เป็นกระบวนการวิธีการที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม 

ขณะเดียวกันวิธีการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้นั้น ควรจะแก้ไขให้เป็นไปตามเสียงข้างมากของรัฐสภา แม้จะมี ส.ว.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งถึง 250 คนก็ตาม ดังนั้น 2 อย่างนี้ต้องเดินไปด้วยกัน