อย่างไรก็ดี แอนดรี ซาโกร็อดนิยุก อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Guardian ว่า สถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียในตอนนี้ดู “แย่มาก” ก่อนที่ซาโกร็อดนิยุกจะคาดการณ์ว่าในตอนนี้ “รัสเซียสามารถบุกยึดเมืองใดเมืองหนึ่งของยูเครนได้แล้ว แต่เรายังคงไม่เห็นกำลังพล 200,000 นาย เพื่อการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบ”
การคาดการณ์ของซาโกร็อดนิยุกเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยข่าวกรองของทางการของสหรัฐฯ เชื่อว่า รัสเซียได้ระดมกำลังพลและหัวรบกว่า 70% ในการรุกรานยูเครนเอาไว้พร้อมแล้ว เพื่อเตรียมการรุกรานยูเครนในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
กองกำลังกว่าแสนนายของรัสเซียจะทำให้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียสามารถสั่งการให้มีการบุกรุกยูเครนได้ในทันทีหากปูตินต้องการ และด้วยจำนวนกองกำลังดังกล่าว จะสามารถทำให้รัสเซียยึดเมืองใดก็ได้ของยูเครน ไม่เว้นแม้แต่กรุงเคียฟเมืองหลวงของประเทศ
นอกจากนี้ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน “อาจเกิดขึ้นทันทีทันใดไม่เว้นแม้แต่วันพรุ่งนี้ หรืออาจจะใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ยังมาไม่ถึง” นอกจากนี้ ซัลลิแวนย้ำว่า “เราอยู่ในช่องหน้าต่างของสถานการณ์ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราเชื่อว่ารัสเซียได้เสริมแสนยานุภาพของตัวเองเพื่อเริ่มปฏิบัติการครั้งสำคัญได้”
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ย้ำต่อรัสเซียมาโดยตลอดว่า การรุกรานยูเครนของรัสเซียจะส่งผลร้ายต่อรัสเซียเอง และรัสเซียจะเจอกับมาตรการการคว่ำบาตรอย่างรุนแรง ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังคงเปิดประตูการนั่งพูดคุยระหว่างรัสเซียกับตนและชาติพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) อยู่เช่นเคย
จากรายงานระบุว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ต่อสายโทรศัพท์โดยตรงถึง เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก่อนที่มาครงจะเดินทางเยือนกรุงมอสโกของรัสเซีย เพื่อเข้าพูดคุยกับทางปูตินในวันนี้ (7 ก.พ.) ทั้งนี้ มาครงให้สัมภาษณ์กับสื่อก่อนเดินทางมุ่งหน้าไปยังรัสเซียว่า จุดประสงค์ของรัสเซีย “ไม่ใช่ยูเครน แต่คือความชัดเจนของกฎเกณฑ์ กับทาง NATO และสหภาพยุโรป”
ทางการสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การโจมตีของรัสเซียต่อยูเครนในกรุงเคียฟอาจทำให้ประชานจำนวน 50,000 รายบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยจะมีทหารของยูเครนเสียชีวิต 25,000 ราย และทหารของรัสเซียเสียชีวิต 10,000 ราย และอาจทำให้ยุโรปต้องเจอกับปัญหาผู้อพยพอีกนับล้าน อย่างไรก็ดี มาครงเชื่อว่าการเดินทางไปพูดคุยกับปุติน จะช่วยให้การปะทะกันทางการทหารที่อาจเกิดขึ้นถูกระงับยับยั้งเอาไว้ได้ และปูตินอาจจะพร้อมเปิดบทสนทนาพูดคุยถึงประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม
ทางการยูเครนคาดการณ์เสมอว่า รัสเซียพร้อมจะรุกรานประเทศของตนได้ทุกเมื่อ ในขณะที่ทางสหราชอาณาจักรลงความเห็นว่า รัสเซียกำลังสร้างเงื่อนไขและเหตุผลเพื่อความชอบธรรมของตนเอง ในการบุกรุกยูเครน อย่างไรก็ดี หากรัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน การรุกรานในครั้งนี้จะเป็นการปะทะกันทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2488 หรือเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
ที่มา:
https://www.nytimes.com/2022/02/04/world/europe/russian-troops-ukraine-crimean-peninsula.html