ไม่พบผลการค้นหา
เอกชัย เรืองฉาย รีไรเตอร์ สำนักข่าวทีนิวส์ จำเลยที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ยื่นฟ้อง กรณีนำเสนอข่าว “จุลเจิม กล่าวหาอนาคตใหม่คิดล้มเจ้า” ประกาศลาออก ระบุได้แรงบันดาลใจจาก ‘ธนาธร’ ทำให้กล้าพูดความจริง ฝักใฝ่และถวิลหาประชาธิปไตย

สมาชิกเฟซบุ๊ก Oat Ruanchai เขียนจดหมายเปิดผนึกระบุว่า ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง รีไรท์เตอร์ อายุการทำงาน 6 เดือน และเป็นจำเลยคดีหมายเลขดำ อ.640/2562 หรือ คดีที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นฟ้อง กรณีที่นักข่าวสำนักข่าวทีนิวส์นำข้อความของหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ที่มีลักษณะกล่าวหาว่าพรรคนาคตใหม่ มีความคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเผยแพร่ 

เนื้อหาทั้งหมดระบุว่า

"กระผม เอกชัย เรืองฉาย อายุ 26 ปี ตำแหน่ง รีไรท์เตอร์ อายุการทำงาน 6 เดือน จำเลยคดีหมายเลขดำ อ.640/2562

ทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียงขึ้นในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ขอให้ถือเสมือนว่าเป็นคำแถลงและข้อชี้แจงต่อจุดยืนทางการเมืองของข้าพเจ้า นายเอกชัย เรืองฉาย หาได้เกี่ยวข้องหรือเป็นในนามองค์กรใดทั้งสิ้น 

ผมจบการศึกษา ป.ตรี สาขา รัฐศาสตร์จาก ม.รังสิต ปีการศึกษา 2560 แม้จะไม่ได้มีความตื่นตัวทางการเมืองมากนัก แต่ตลอดชีวิตการเป็นนิสิต ก็ทำให้ผมได้ตื่นรู้ถึงความเสื่อมทรามของสภาพการเมืองไทย ที่ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ความศิวิไลซ์หรือมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแม้แต่น้อย หากจะมีก็เพียงไม่กี่ขวบปีพอให้ผู้ฝักใฝ่เสรีประชาธิปไตยได้ดมดอมความหอมหวาน ก่อนจะถูกอำนาจอื่นเข้าช่วงชิง เป็นวงจรและวัฏจักรไม่จบสิ้น นับเป็นเรื่องน่าสลดยิ่ง

อาจด้วยตำราที่ผมนั้นยึดเป็นธงแนวคิดในการศึกษาด้านการเมือง จะเป็นใครอื่นไม่ได้หากไม่ใช่ อาจารย์ชาญวิทย์ ผู้ที่ผมยกให้เป็นบรมครูด้านประวัติศาสตร์การเมือง หากทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากทัศนะทางการเมืองของอาจารย์ประจำภาค (บางท่าน) ที่ผมรับเอามาเป็นแนวทาง และต่อยอดด้วยงานวิชาการที่มีความลึกซึ้งและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

พลันที่พ้นรั้วมหาลัย ผมลุ่มๆ ดอนๆ อยู่พักใหญ่ จากการถูกปฏิเสธงานในทุกๆ ครั้ง แต่ด้วยสถานะทางการเงินและความจำเป็น บีบให้ผมตระหนักได้ว่านอกจากวุฒิรัฐศาสตร์ ตัวผมพอจะคลุกคลีด้านการอ่าน และงานเขียนอยู่บ้าง จากการง่วนอยู่กับหนังสือสะสมเพิ่มพูนความรู้นอกเวลาเรียน

ผมตัดสินใจลองสมัครตำแหน่ง รีไรท์เตอร์ โดยที่พบว่าสำนักข่าวส่วนใหญ่ต้องการประสบการณ์อย่างน้อย 1 ปี มีเพียงองค์กรแห่งนี้ที่ "ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่"

ผมได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว สังกัดทีมสังคมเรื่อยมา จนกระทั่งงานบทความเชิงประวัติศาสตร์การเมืองที่ผมเขียนโดยพลการเพราะนึกอยากเขียนเชิงวิเคราะห์ตามทัศนะของตน ไปเข้าตาระดับผู้บริหาร แต่ด้วยประเด็นที่นำเสนอขัดกับจุดยืนทางการเมืองขององค์กร ผมได้รับคำสั่งให้แก้ไขโดยด่วน

แต่ผลสะท้อนหลังจากนั้น คือการที่ผมต้องตกกระไดพลอยโจนถูกดึงไปสังกัดทีมการเมือง โดยที่มุมข่าวและรูปแบบการทำงานของทีมการเมืองต่างจากทีมอื่นอย่างสิ้นเชิง

ธงข่าวจะถูกกำหนดโดยผู้บริหาร ทุกเช้าจะมีการบรีฟประเด็นประจำวันให้สมาชิกทีมรับผิดชอบ โดยที่ไม่อาจแสดงความเห็นต่างให้ประเด็นกลายเป็นอื่น หากผิดเพี้ยนไปจากมุมที่องค์กรกำหนด นั่นหมายถึงการนำมาซึ่งปัญหากับผู้บริหารอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทั้งรูปแบบการทำงานและทัศนะทางการเมืองของตนที่ถูกกดทับและความเป็นอำนาจนิยม ทำให้ผมตัดสินใจส่งจดหมายสมัครงานในองค์กรอื่น พร้อมเตรียมสอบราชการเพื่อความมั่นคงในชีวิตภายภาคหน้าควบคู่ไปด้วย

วันที่ผมนำข้อเขียนดังกล่าวที่เป็นปัญหามาเผยแพร่ต่อ ผมไม่ได้มีความคิดและเจตนาอันใดซับซ้อนมากไปกว่า ทำโควต้าข่าวประจำวันให้ครบตามมุมที่องค์กรกำหนด เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาพักประจำวันนานขึ้น

เพราะความเขลาต่อโลกของสื่อมวลชนที่ไม่ทราบแม้กระทั่งว่า การเผยแพร่หรือส่งต่อจะมีโทษรุนแรงในระดับใด

ผลจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในวันนั้น ทำให้ผมได้รับบทเรียนราคาแพงในชีวิต วันที่ปรากฏชื่อผมเองในข่าว 

เป็นเรื่องน่าหดหู่ยิ่ง ที่ผมประสบพบภาพของคนที่ถูกครอบงำด้วยโทสะจริต เพียงเพราะเขาเชื่อว่า อาจารย์ปรีดีและคณะราษฎรเป็นความเลวร้าย ในขณะที่ผมมีความเชื่อที่ต่างไปจากนั้น ทำให้ผมพบความจริงที่ว่า วังวนของความขัดแย้งที่ผมจำต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เกิดขึ้นเพียงเพราะเราเข้าใจต่อเหตุการณ์ในอดีตที่ต่างกัน แค่เพียงกระนั้นหรือ?

วันนี้ผมถลำลึก แต่ก็เชื่ออย่างถึงที่สุดว่า ไม่สายเกินที่ผมจะขอถอยออกจากที่แห่งนี้ โดยที่ไม่ขอทรยศต่ออุดมการณ์ของตนต่อไปอีก พร้อมขอรับผิดชอบด้วยการยุติบทบาทและหน้าที่ ด้วยการลาออก

ความใฝ่ฝันในอนาคต จากอุดมการณ์ที่ผมขอถือร่วมในฐานะหนึ่งในผู้ฝักใฝ่และถวิลหาเสรีประชาธิปไตย

หวังว่าลูกหลานของเราจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้แง่มุมเดียวกัน ดังที่ควรจะเป็นในสังคมอารยะที่ ไม่ควรเกิดมีความขัดแย้งขึ้นเพียงเพราะความเห็นต่าง

รากของปัญหาที่แท้จริงอาจไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการตีความที่มาของระบอบประชาธิปไตยและเหตุการณ์ในอดีตที่ต่างกัน

และ ไม่ว่าท้ายสุดแล้วเสียงของผม รวมถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ถูกถ่ายทอด จะส่งถึงพี่เอกหรือไม่ก็ตาม แต่ผมขอยืนยันในการสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่อย่างไม่เปลี่ยนแปร 

"เชื่อว่ามันไม่มีหรอกความพร้อม ถ้าคุณรอให้คุณพร้อม คุณก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย" ขอบคุณคำพูดของพี่เอก จากเพจ 'อนาคตใหม่-อยุธยา' ที่ทำให้ผมกล้าตัดสินใจ ลุกขึ้นมาถ่ายทอดเรื่องราวอันเป็นสัจจะ เป็นความจริง หาใช่ความเท็จที่ไม่ควรปรากฏมีขึ้นจากการถ่ายทอดผ่านสื่อ ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย"

ทั้งนี้ นายเอกชัย ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออนไลน์ว่า ยังไม่พร้อมให้ความเห็นหรือรายละเอียดเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว

ต่อมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทราบเรื่องดังกล่าว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์เฟซบุ๊กชื่นชมความกล้าหาญที่สื่อมวลชนแสดงจุดยืนต้องการเปลี่ยนประเทศไทย พร้อมยืนยันจะถอนฟ้อง โดยระบุ ตอนหนึ่งว่า อยากให้ทุกท่านลองเปิดใจและใช้เวลาอ่านข้อเขียนของท่านนี้ดู โดยส่วนตัวผมชื่นชมคนเช่นนี้มาก คนที่ “กล้า” เผชิญหน้ากับความไม่ถูกต้องด้วยความจริง คนที่กล้าลุกขึ้นมาพูดว่าสิ่งนี้ไม่เป็นธรรม คนที่เป็นผู้ “เริ่ม” สร้างความเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันจะเจ็บปวดหรือยากลำบากมากแค่ไหนก็ตาม เพราะหวังว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นจะทำให้สังคมนี้น่าอยู่ขึ้นได้

“ผมยืนยันว่า ผมไม่เคยคิดว่าสื่อมวลชนคนใดหรือสำนักไหนเป็นศัตรูกับเราเลย แม้ว่าผมจะโดนหลายสำนักโจมตีด้วยความเท็จหรืออคติก็ตาม เพราะผมเข้าใจดีว่าเงื่อนไขความจำเป็นของสื่อแต่ละคนแต่ละสำนักนั้นต่างกัน ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นคนทำงานวิชาชีพสื่อมวลชนได้ “กล้า” ลุกขึ้นมาพูดความในใจและความจริงเพิ่มมากขึ้นทีละคน ทีละคน ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ผมอยากขอให้ผู้ที่ทำงานวิชาชีพสื่อสารมวลชนเช่นท่านทั้งหลายนี้ มีความกล้าที่จะเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงบ้าง ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าสังคมเราจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน สุดท้าย ผมและพรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจจะถอนฟ้องคดีที่เราฟ้องมือเขียนข่าวของทีนิวส์ท่านนี้” นายธนาธร ระบุ 

นายธนาธร ระบุอีกว่า แน่นอนที่สุด การตัดสินใจเช่นนี้อาจขัดใจผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ผมอยากให้ทุกท่าน “กล้า” เอาชนะความเท็จด้วยความจริง “กล้า” ให้อภัยผู้ที่เคยผิดพลาดและโอบรับพวกเขาไว้ด้วยความอารี “กล้า” บอกว่าเราพอแล้วกับความขัดแย้งเช่นนี้ และ “กล้า” ยืนยันในแนวทางจุดยืนอุดมการณ์ของพวกเรา ว่าเราจะเดินหน้าทำงานการเมืองด้วยความสร้างสรรค์ ด้วยความหวัง ด้วยความจริง และด้วยความฝันที่จะเห็นสังคมนี้ ประเทศนี้ ดีกว่าที่เป็นอยู่

นายธนาธร ระบุทิ้งท้ายว่า ส่วนคดีที่พรรคอนาคตใหม่และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ที่เขียนบทความต้นฉบับกล่าวหาโจทก์นั้น โจทก์ยังไม่ได้มีการถอนฟ้องแต่อย่างใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :