ไม่พบผลการค้นหา
'นลินี ทวีสิน' ประธานผู้แทนการค้าไทย หารือ Ms. Renita Bhaskar อัครราชทูตที่ปรึกษา และหัวหน้าฝ่ายการค้าและเศรษฐกิจ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เห็นพ้องว่า ความสัมพันธ์ไทย-EU ในมิติด้านการค้าและการลงทุนนั้น มีความแน่นแฟ้นและใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา 11.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล ดร. นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่าตนได้หารือกับ Ms. Renita Bhaskar อัครราชทูตที่ปรึกษา และหัวหน้าฝ่ายการค้าและเศรษฐกิจ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ความสัมพันธ์ไทย-EU ในมิติด้านการค้าและการลงทุนนั้น มีความแน่นแฟ้นและใกล้ชิด โดยสืบเนื่องมาจากที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการสานต่อการดำเนินการในกรอบต่าง ๆ โดยเฉพาะกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือรอบด้าน (PCA) ไทย – EU ซึ่งเป็นข้อตกลงทวิภาคีฉบับแรก ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้สรุปผลกันไปแล้ว และความคืบหน้าในการเจรจา FTA ไทย - EU

ดร. นลินี เสริมว่า สำหรับการเจรจา FTA ไทย – EU นั้น ถือเป็นวาระที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญเนื่องจาก EU เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 27 ประเทศ มีกำลังซื้อสูง และมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลก ทั้งนี้ การเจรจาดังกล่าวสามารถสรุปผลไปได้แล้วสองบท ได้แก่ บทว่าด้วยแนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ (Good Regulatory Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ และบทความโปร่งใส (Transparency) ที่มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกฎหมาย กฎระเบียบ และกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ FTA ฉบับนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังให้การเจรจาแล้วเสร็จโดยเร็ว

ประธานผู้แทนการค้าไทย เผยเพิ่มเติมว่า ในการหารือยังได้มีการหารือถึงประเด็น การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนการศึกษาอาชีวะ เพื่อให้ไทยมีความพร้อมในการรับการลงทุนสมัยใหม่ การแลกเปลี่ยนความรู้และการสนับสนุนทางเทคนิคในด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในการดำเนินการที่สอดคล้องกับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ตลอดจนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) 

ทั้งนี้ ในปี 2024 EU เป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมกันประมาณ 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.17 ของการค้าไทยในตลาดโลก ซึ่งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจาก FTA ฉบับนี้ นอกเหนือจากการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับ EU แล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากไทยไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จาก EU ตั้งแต่ปี 2015 ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ยังคงได้รับสิทธินี้ และเวียดนามรวมถึงสิงคโปร์มี FTA กับ EU แล้ว นอกจากนี้ ยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและกระตุ้นให้ไทยพัฒนามาตรฐานด้านกฎระเบียบภายในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล