นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อ 25 - 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้สอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ใน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา และอำนาจหน้าที่ ส.ว. กับขอให้ยกเลิกระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม และ 2. ขอให้ยกเลิกงบประมาณเงินทุนสำรองจ่าย จำนวน 50,000 ล้านบาท ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 ที่ให้อำนาจแค่ ครม.อนุมัติ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ถ่วงดุลกันตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ซึ่งประเทศไทยยึดถือมาช้านาน
นายชวลิต ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ออกมาในช่วงปลาย ครม.พล.อ.ประยุทธ์ 1 โดยผ่าน สนช.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช. ที่จริงควรรอให้สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้พิจารณา อีกทั้งในช่วงอภิปราย ตนเห็น พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอยู่ในห้องประชุมเห็นจดประเด็นคำถามตนด้วย ซึ่งตนได้ถามไป5 ข้อแต่ไม่ตอบสักข้อ แต่เลือกตอบคำถามที่ชม พล.อ.ประยุทธ์
"ท่านชอบคำหวาน คำป้อยอ รีบยืนขึ้นตอบทันทีเมื่อมีคนชม โดยไม่ต้องขออนุญาตประธาน พวกเราไม่ถือสา ท่านอาจจะเคยชินกับการสั่งการ สนช.และส.ว.ที่ท่านตั้งมากับมือ ดู ๆ ท่านประธานชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ก็กระอักกระอ่วนใจในฐานะประธานฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องออกมาแก้ต่างให้ ส.ส.ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ ต่อว่า นั่งกันไม่เรียบร้อย โดยประธานชวน ตอบแทนว่า ประชุมกันมา 2 วัน 2 คืน คืนนี้ก็ดึกแล้วก็อาจนั่งไม่ระมัดระวัง" นายชวลิต ระบุ
นายชวลิต ระบุว่า 2 คำถามสำคัญของตนรวมทั้งข้อเสนอแนะ ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการขอให้ตัดมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นประเทศ และช่วยรักษาวินัยการเงิน การคลังของประเทศ กับทั้งจะรักษาระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่จะต้องมีการถ่วงดุลอำนาจกันดังกล่าวข้างต้น มีข้อสังเกตว่าการแก้ไข 2 ประเด็นเป็นการตัดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ เพราะ ส.ว.จะไม่มีอำนาจเลือกนายกฯ และระบบพรรคการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และจะไม่มีเงินทุนสำรองจ่ายจำนวน 5 หมื่นล้านบาทอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ ข้อสังเกตดังกล่าวอยู่ที่จิตสำนึกของ พล.อ.ประยุทธ์ เองว่า จะเลือกตัดอำนาจตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประเทศด้านการเมือง การปกครอง และเพื่อรักษาวินัยการเงิน การคลัง ของประเทศ หรือจะไม่ดำเนินการใดๆเพื่อรักษาอำนาจตนเองและพวกพ้องไว้ ส่วนความเสียหายของประเทศโดยเฉพาะความเชื่อมั่นประเทศจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องรองกว่าประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง สังคมจะติดตาม