การชุมนุมของคณะราษฎร 2563 และประชาชนที่เดินทางมาเข้าร่วมเดินขบวนและปักหลักที่หน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. จนถึงเช้าวันที่ 15 ต.ค.2563 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร ถูกรายงานอย่างต่อเนื่องโดยสื่อต่างประเทศหลายสำนักที่กำลังจับตามองสถานการณ์ทางการเมืองไทย
นิกเคอิเอเชี่ยนรีวิว สื่อด้านธุรกิจของญี่ปุ่น รายงานว่า Protest leaders arrested amid calls for new rally โดยระบุถึงแกนนำซึ่งถูกจับกุม แต่การนัดชุมนุมที่แยกราชประสงค์เวลา 16.00 น.วันที่ 15 ต.ค.ก็ถูกประกาศออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน และสถานการณ์ด้านต่างๆ ยังดำเนินไปค่อนข้างปกติ
สื่อญี่ปุ่นระบุว่า หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ตามกำหนดการเดิม ส่วนตลาดหุ้นไทยตกลง 1 จุดช่วงเปิดตลาด สะท้อนว่านักลงทุนบางส่วนอาจกังวลต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลไทย ขณะที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ละแวกราชประสงค์บางแห่งประกาศว่าอาจปิดทำการเร็วกว่าปกติในวันที่ 15 ต.ค.
ส่วนท่าทีของผู้ชุมนุม นิกเคอิฯ รายงานว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีผลให้การรวมตัวเกิน 5 คนในที่สาธารณะไม่สามารถกระทำได้ หากมีการชุมนุมเกิดขึ้น อาจทำใหผู้ชุมนุมถูกควบคุมตัวได้ เพราะเจ้าหน้าที่ได้รับมอบอำนาจโดยเกี่ยวเนื่องกับประกาศดังกล่าว
นอกจากนี้ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังมีผลต่อการห้ามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีข้อความยุยงปลุกปั่นหรือสร้างความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ตลอดจนบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งนิกเคอิฯ รายงานว่า เป็นประกาศที่มีผลให้เกิดการปิดกั้นสื่อได้
สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เปิดทางจับกุมผู้เห็นต่างได้นานถึง 30 วัน
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานว่าไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อระงับการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วง (Thailand uses emergency decree to ban gatherings after Bangkok protests) โดยย้ำว่านี่เป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ทั้งที่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไทยก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศอยู่แล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สื่ออังกฤษรายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ 'ฟิล โรเบิร์ตสัน' รองผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ 'ฮิวแมนไรท์วอทช์' (HRW) ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ชุมนุมได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องมีการตั้งข้อหาหรือแจ้งข้อมูลการควบคุมตัวแก่ญาติ และไม่มีโอกาสพบทนาย ซึ่งผิดจากขั้นตอนพื้นฐานของการดำเนินคดี
โรเบิร์ตสันย้ำว่า "สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและชุมนุมในที่สาธารณะอย่างสันติกำลังถูกห้ำหั่นโดยรัฐบาลที่สำแดงธาตุแท้ของเผด็จการออกมา"
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยอ้างเหตุผลในการจับกุมแกนนำว่า เป็นการชุมนุมโดยไม่สงบ บ่อนทำลายการบริหารราชการแผ่นดิน และความสงบสุขของประชาชน และเดอะการ์เดียนระบุว่า การชุมนุมช่วงบ่าย 14 ต.ค. มีขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านผู้ชุมนุม มีการตะโกนเรื่องภาษีและมีการชู 3 นิ้วที่เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง แต่ไม่มีเหตุการณ์ปะทะเกิดขึ้น
คำเตือนจากนักวิชาการ กดดันแต่ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งนำสู่ภาวะสุดโต่ง
ทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเหตุผลที่กลุ่มคณะราษฎรและผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นๆ ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐบาลให้ยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ปฏิรูปสถาบันหลัก และยุติการคุกคามประชาชนผู้เห็นต่าง เป็นเพราะประเทศเจอกับภาวะย่ำแย่หลายด้าน (What's the latest with Thailand's protests and what comes next?)
เอเอฟพีรายงานว่าปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และมีมาตรการล็อกดาวน์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งยังมีความไม่พอต่อการจัดสรรภาษีหรือการบริหารจัดการประเทศภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมาจากการรัฐประหาร ทั้งยังถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนและพยายามยื้ออำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่มีกติกาเข้าข้างอดีตรัฐบาลทหาร
นอกจากนี้ เอเอฟพีได้รายงานความคิดเห็นของ รศ.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเตือนว่าความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมในตอนนี้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายและอาจปะทุติดไฟได้ทุกเมื่อ
รศ.ฐิตินันท์กล่าวว่า แกนนำหลายคนถูกจับกุมเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการชุมนุมอยู่บ้าง แต่การชุมนุมยังมีแรงส่งที่ขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะความไม่พอใจของคนในสังคมหยั่งรากลึกและแผ่ขยายวงกว้าง พร้อมเตือนว่า การกดดันปราบปรามโดยไม่มีการปฏิรูปอาจส่งผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้านมุ่งไปยังแนวทางสุดโต่งมากยิ่งขึ้น และนี่คือการเปลี่ยนผ่านในยุคศตวรรษที่ 21 ที่ไทยต้องเผชิญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: