รายงานการประเมินภัยคุกคามทั่วโลกของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ยื่นให้กับวุฒิสภาระบุว่า เกาหลีเหนือจะยังไม่ปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด แต่จะยังเก็บคลังอาวุธและโรงงานผลิตเอาไว้ ขณะเดียวกันเกาหลีเหนือก็จะพยายามเจรจาขั้นตอนการปลดอาวุธบางส่วน เพื่อแลกกับการได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ และนานาชาติมากขึ้น โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า อาวุธนิวเคลียร์ "มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเกาหลีเหนือ"
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ พบกันที่สิงคโปร์เมื่อเดือนมิ.ย. 2018 เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์บในคาบสมุทรเกาหลีเหนือ พร้อมลงนามในข้อตกลงว่าจะ "ร่วมมือผลักดันไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์" แต่ไม่มีการตกลงวิธีการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ยังไม่เห็นความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็นนี้เท่าที่ควร โดยที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยืนยันว่าจะไม่ปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด จนกว่าสหรัฐฯ จะหยุดคุกคามเกาหลีเหนือ
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ผู้นำทั้งสองประเทศจะพบกันอีกครั้งในเดือน ก.พ. นี้ แต่ยังไม่มีการยืนยันกำหนดการและสถานที่ที่ทั้งคู่จะพบกัน
นอกจากนี้ื รายงานการประเมินภัยคุกคามทั่วโลกยังระบุว่า อิหร่านไม่ได้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์หลังปี 2018 ซึ่งทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์อิหร่านที่ลงนามร่วมกันกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ พร้อมเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน แต่รายงานนี้ก็เตือนว่า "ความทะเยอทะยานและการปรับปรุงสมรรถภาพกองทัพ" อาจเป็นภัยคุกคามสหรัฐฯ ได้ในอนาคต
ขณะที่ภัยคุกคามไซเบอร์จากจีนและรัสเซียเพิ่มขึ้นจนน่ากังวล ปัจจุบันจีนและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางยุค 1950 เป็นต้นมา เนื่องจากรู้สึกถูกคุกคามที่ชาติตะวันตกพยายามส่งเสริมแนวคิดประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
ขณะเดียวกัน ทั้งสองประเทศก็พยายามจะขยายอำนาจของตัวเองในเวทีโลกมากขึ้น โดยทั้งสองประเทศมีความสามารถในการสอดแนมทางไซเบอร์ที่ซับซ้อน จนอาจพยายามเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2020 นี้
ที่มา : Director of National Intelligence, BBC