โดยเฉพาะ “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) ที่เป็น “ต้นคิด” ใช้ระบบบัตร 2 ใบ หวังปักธงในสนามการเมืองให้ได้มากขึ้น เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ระบบเลือกตั้งเดิมนั้น ยิ่งทิ้งระยะยิ่ง “บอนไซตัวเอง” แต่อีกแง่ก็ถูกมองว่า “เข้าทาง” พรรคเพื่อไทยหรือไม่
ทว่ารอยร้าวภายใน พปชร. ยังคงฝังลึก ระหว่าง “ทีมวงษ์สุวรรณ” กับ “ทีมจันทร์โอชา” ในระหว่างนี้จึงเป็นเพียงการ “พักรบ-สงบศึกชั่วคราว” เท่านั้น
หลังมีการนัด “เคลียร์ใจ” กันระหว่าง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กับ “ผู้กองมนัส”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยอมรับว่ามีการพูดคุยกัน พร้อมย้ำว่า “เคยมาคุยด้วยครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ดี ก็คุยกัน”
ส่วนความเป็นปึกแผ่นของ พปชร. และเป็นเนื้อเดียวกับรัฐบาล นายกฯ ว่า “ถ้าไม่มีใครยุแยงตะแคงรั่ว มันก็ดีอยู่มั้ง”
ซึ่งคำว่า “ยุแยงตะแคงรั่ว” ก็ถูกโฟกัสไปที่ 6 รัฐมนตรี ที่ขึ้นไปบนตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนตามมาด้วย “ปฏิบัติการกำจัดผู้กอง” ผ่านการบีบให้ กก.บห. ลาออก เพื่อให้มีการปรับ กก.บห.ใหม่ หวังเขี่ย ร.อ.ธรรมนัส กับ “อ.แหม่ม”นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พปชร. พ้นตำแหน่ง แต่สุดท้าย “พี่ใหญ่ประวิตร” คำรามเบรกชนิดหัวทิ่มกันหมด
ดังนั้นเมื่อ พปชร. ต้องอยู่ในสภาวะ “แตกหัก” เช่นนี้ อาจต้องมีคน “ออกจากพรรค” จึงปรากฏชื่อ “พรรคสำรอง” ออกมาอยู่เนืองๆ
ล่าสุดคือ “พรรคไทยสร้างสรรค์” ที่ว่ากันว่าเป็นของแกนนำ พปชร. สาย กปปส. อย่าง “ตั้น”ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ “เสี่ยโอ๋”ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ แต่ก็เงียบหายไป ราวกับ “พลุ” เพราะสุดท้ายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเลือกอยู่กับ พปชร. เช่นเดิม เพราะหาก ออกจาก พปชร. นัยหนึ่งก็เท่ากับเป็น “ผู้แพ้” นั่นเอง
ดังนั้น “แต่ละก๊ก-มุ้ง” ภายใน พปชร. ยังคงอยู่ด้วยกัน ผ่าน 2 คลัสเตอร์ “2ป.ประยุทธ์-ประวิตร” สภาวะเช่นนี้คล้ายกับ “พรรคไทยรักไทย” ผ่านการตั้ง “กลุ่มลุ่มน้ำ” ต่างๆ ในยุคนั้น 9 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจันทร์ส่องหล้า กลุ่มวังบัวบาน , กลุ่มวังน้ำยม , กลุ่มวังพญานาค , กลุ่มวังน้ำเย็น , กลุ่มบ้านริมน้ำ , กลุ่มราชบุรี , กลุ่มวังน้ำเค็ม นำโดย สนธยา คุณปลื้ม
ซึ่งแกนนำ พปชร. หลายคนก็เคยอยู่ “ไทยรักไทย” มาก่อนด้วย ดังนั้น พปชร. จึงนำมาปรับเป็น “โมเดลบ้านใหญ่-เจ้าพ่อหัวเมือง” นั่นเอง
ซึ่งภายใน พปชร. แบ่งเป็นหลายสาย ได้แก่ สายสามมิตร , มุ้งธรรมนัส-เสธ.หิมาลัย , มุ้งบ้านริมน้ำ , ก๊ก กปปส. เดิม , สายด้ามขวาน , สายมังกรน้ำเค็ม , สายตรงตึกไทยคู่ฟ้า , สายบ้านป่ารอยต่อฯ เป็นต้น ซึ่งแต่ละก๊กแบ่งอยู่ใน 2 ครัสเตอร์ “2ป.” นั่นเอง
แต่เพื่อการ “ถ่วงดุล” และไม่ให้แต่ละก๊ก “เปิดศึก” พร่ำเพรื่อ จึงมีการแบ่งออกเป็น 10 ภาค คล้ายกับ ตร. ที่แบ่งเป็นภูธรภาค พร้อม “กระจายอำนาจ” ให้คัดเลือกแกนนำภาคกันเอง
แน่นอนว่าจะมีการ “หลีกทาง” กันภายใน พปชร. ในการส่งผู้สมัคร ส.ส. ไม่ให้ “ชน” กันเอง โดยใช้ “พลังบ้านใหญ่” ขับเคลื่อน หลังใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อครั้ง “เลือกตั้งท้องถิ่น” 2 สนามก่อนหน้านี้ และเพื่อเช็คพื้นที่-ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ต้องจับตาผลการเลือกตั้ง อบต. 28พ.ย.นี้ ด้วย เพราะผ่านมาครึ่งปีกว่า “ปัจจัย-เรตติ้ง” ย่อมเปลี่ยนไป
นอกจากนี้ พปชร. ยังผุดชุด “โครงการประชานิยม” ออกมา โดย “รีแบรนด์” ผ่านโปรเจกต์ชื่อ “ประชารัฐ” หลังมีการเผย “ร่างพิมพ์เขียว” ออกมา ผ่านแนวคิด “เศรษฐกิจพัฒนา ประชามีสุข ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ประเทศชาติมั่นคง” เช่น โครงการบัตรเครดิตเกษตรประชารัฐถูกใจ วงเงิน 50,000 บาท/ครอบครัว , โครงการประชารัฐระดับตำบล ตำบลละ 20 ล้าน เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อถามถึง “พรรคสำรอง” จึงไม่มีความจำเป็นมากนัก ภายหลัง “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่ถอยไม่ลงชิงผู้ว่าฯ กทม. ก็เตรียมมาร่วม พปชร. แต่ยังอยู่ระหว่างเว้นวรรคจาก ส.ว. ถึง ก.ย. 2565 หลังลงพื้นที่กับ พล.อ.ประวิตร ในฐานะ “คณะทำงาน” ที่ จ.สกลนคร หลังมีกระแสข่าวว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ “อีสานตอนบน” แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็มีความคุ้นเคยกับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มีฐานที่มั่นในพื้นที่ “อีสานใต้” ด้วย
ส่วน “บิ๊กฉิ่ง”ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย ก็นิ่งเงียบไป ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็พร้อมอ้าแขนร่วม พปชร. โดยว่ากันว่าแผนพรรคสำรองของ “บิ๊กฉิ่ง” ถูกพับลงไป หลังระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ ซึ่งที่ผ่านมา “บิ๊กฉิ่ง” ก็ตามจีบ “บ้านใหญ่” ไว้หลายพื้นที่
ในเวลานี้ ร.อ.ธรรมนัส ก็เร่งปูพรมทำพื้นที่ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กับ พล.อ.ประวิตร ในหลายภูมิภาค แต่ยังเป็นแค่ “ออเดิร์ฟ” เพราะก่อนเลือกตั้ง ย่อมมี “คนเข้า-คนออก” พรรคการเมือง ชนิดที่ว่า “ฝุ่นตลบ”
และอีกสิ่งที่ต้องจับตาคือ เมื่อ “พรรคสำรอง” ไม่จำเป็นแล้ว อาจถูกแปรเปลี่ยนมาเป็น “พรรคพันธมิตร” แทน เพราะเป็นยุคที่การเมืองยากจะ “แลนด์สไลด์” เพราะแต่ละฝั่งมี “ตัวหาร” ทางการเมืองมากขึ้น ที่สำคัญในทางการเมือง เหนือคำว่า “พรรคการเมือง” ก็คือ “พรรคพวก” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่ต้องจับตา คือ งานเลี้ยง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล 3 ธ.ค.นี้ ที่จะเป็นการพบกันของ “3ป.” กับ ร.อ.ธรรมนัส อย่างเป็นทางการ และกับ 6 รัฐมนตรี ที่ต่างเป็น “คู่กรณี” กันมาด้วย จึงเป็นอีกวันหมุดหมายสำคัญ
อยู่ที่ “2ป.พยัคฆ์เฒ่า” จะแก้เกมอย่างไร สุดท้ายเมื่อ “เรียนผูก” ก็ต้อง “เรียนแก้” เอง !!