ไม่พบผลการค้นหา
'นิกร​' กางไทม์ไลน์​เดินสายรับฟังความคิดเห็น ทั่วประเทศ​-​สว.​-สส.-ก้าวไกล​ หวัง​จบงาน​ไม่เกินสัปดาห์ที่​ 3 ธ.ค.​66 บอกยังไม่เคาะทำประชามติ​ 2 หรือ​ 3 ครั้ง​ ย้ำทันเลือกตั้งสมัยหน้า

วันที่ 25 ต.ค. นิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ และคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนฯ​ ว่า​ ขณะนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง เพราะมีความเห็นเป็น 2 ทาง โดยฝ่ายหนึ่งให้ความเห็นว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องทำถึง 2 ครั้ง แต่อีกฝ่ายมีความเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง ไม่เช่นนั้นจะอันตราย เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้เช่นนั้น​ ดังนั้นข้อสรุปในประเด็นดังกล่าวจะมีการสรุปในการประชุมครั้งต่อไป โดยจะรอฟังความเห็นจากคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น ในการไปรับฟังความเห็นจากส่วนสำคัญต่างๆ อาทิ​ สมาชิกรัฐสภา​ กรรมาธิการพัฒนาการเมืองของทั้ง 2 สภา​ 

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 มีการนำมาหารือกันในที่ประชุม ว่าการยกเว้นการแก้ไขทั้ง 2 หมวดถือเป็นการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่​ เนื่องจากหากเป็นการแก้ไขทั้งฉบับจะต้องมีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ด้วย แต่ความเห็นอีกส่วนหนึ่งก็มองว่าหากไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 แต่เราไปแก้เยอะ​ จะเป็นการแก้ที่หลักการ​ และแม้ไม่แก้ที่หมวด​ 1 และ​ หมวด​ 2 แล้ว​ มาตราก็จะเคลื่อน​ ซึ่งก็ถือเป็นการแก้ทั้งฉบับเช่นกัน​ โดยคณะอนุฯศึกษากฎหมาย​ จะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่​ 8 พฤศจิกายนในเวลา 09.30 น  

ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำประชามติจะเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาชี้แจงว่าเป็นเมื่อใด​ รวมไปถึงใช้งบประมาณเท่าไหร่​ รวมถึง​จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทั้ง 2 สภา​ ว่าจะต้องมีการทำประชามติอีกครั้ง

ส่วนการทำงานของอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น​ จะเริ่มดำเนินการครั้งแรก ในการรับฟังความคิดเห็นจากวุฒิสภา​ (สว.) โดยเริ่มจากชุดของ เสรี​ สุวรรณภานนท์ ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้​ ในประเด็นการทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง รวมไปถึงควรจะต้องมี สสร.หรือไม่​ และการออกแบบคำถาม​ในการรับฟังความเห็น​ เป็นต้น​ เนื่องจากจะรับฟังความคิดเห็น ​100 % จาก สว.​ เพราะ สว.จะเป็นคนโหวตให้ความเห็นต่อรัฐธรรมนูญอยู่แล้วในการพิจารณา​ ซึ่งตรงนี้มีความเกี่ยวข้องเป็นนัยยะสำคัญ เพื่อจะได้ทราบว่าสว.นั้นมีความเห็นอย่างไร​ และหลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการถาม สว.ทั้งหมด

ส่วนการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​ (สส.​) ได้มีการนัดหมาย พริษฐ์​ วัชรสินธุ​ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล​ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ การพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในวันที่ 2 พฤศจิกายน​ เวลา 13.30 น ที่อาคารรัฐสภา โดยจะไปหารือร่วมกัน และให้ช่วยคิดคำถามในการไปถาม สส.

ขณะเดียวกันในวันที่ 8 พฤศจิกายนจะมีการดึงกลุ่มบุคคลสำคัญ กลุ่มคนต่างๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อาทิ​ เยาวชนคนรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษา จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รามคำแหง มหาวิทยาลัยมหิดล ราชภัฏสภาเด็ก โดยจะเชิญมาอย่างที่อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งบุคคลดังกล่าว ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ โดยในวันที่ 10 พฤศจิกายนจะมีการเชิญภาคประชาชนอาทิ​ กลุ่มสมัชชาคนจน กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มตัวแทนสลัม 4 ภาค สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย ilawซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจ เราก็ถือเป็นประชาชนเหมือนกัน 

นอกจากนี้ยังมีช่องทางการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชนทางออนไลน์ ผ่านทาง E-mail ของสำนักกฎหมายและระเบียบการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะกำหนดเป็นอีเมลเฉพาะ, ช่องทาง OPM e-Form ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, ระบบกลางทางกฎหมาย และทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้จะมีการไปรับฟังเสียงของประชาชนในแต่ละภูมิภาค โดยกำหนดไว้ 4 ภาค คือ​ ภาคใต้​ จังหวัดสงขลา เนื่องจากจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชนกลุ่มมุสลิม ภาคเหนือ​ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกและภาคกลาง ซึ่งในเบื้องต้นหากจะมีมากกว่านี้ก็ค่อยว่ากัน แต่ในเบื้องต้นตนมองว่าหากอยู่ในกรอบเท่านี้ก็น่าจะโอเคแล้ว

ขณะที่ภาพรวมการรับฟังความคิดเห็นคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม 2566 และคาดว่า ไม่เกินสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม จะมีการเสนอเรื่องกฎหมาย ก็คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดงานได้ในทันที ทั้งเรื่องความชัดเจนในการทำประชามติ การสรรหา​ สสร.​ ส่วนจะสรรหาอย่างไรคณะอนุกรรมการไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง​ ซึ่งคาดว่าในช่วงต้นปี 2567 จะสามารถ ส่งเรื่องที่ทั้งสองอนุกรรมการดำเนินการมา​ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ ส่วนจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ทางครม.​ และหากครมอนุมัติแล้วจะต้องทำประชามติให้แล้วเสร็จ ในกรอบระยะเวลา 90 วันไม่เกิน 120 วัน

ส่วนการดำเนินการทั้งหมด ทั้งการทำประชามติและการสรรหาสสรจะทันกับการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นิกร​ ยืนยันว่า ทันอยู่แล้ว​ ประมาณ 3 ปีก็เสร็จ แต่เวลาที่เรากันช่วงปลายเอาไว้ ก็อาจจะต้องดำเนินการในเรื่องกฎหมายลูกอีกกว่า 10 ฉบับที่จะต้องทำ ให้เสร็จเพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการเลือกตั้งในครั้งหน้า เพราะมันก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งใหญ่ของรัฐธรรมนูญ​ ก่อนย้ำว่าทันการเลือกตั้ง​ครั้งหน้าแน่นอน​ 

เมื่อถามย้ำว่า ประชาชนจะได้เข้าคูหาเมื่อใดนั้น​ นิกร กล่าวว่า ตามที่ ภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 วางไทม์ไลน์ ไว้ก็คาดการณ์ว่า ไตรมาสแรกของปี 2567 แต่อย่างไรก็ต้องหารือกับกกต.ก่อน