มายด์ - ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล แกนนำราษฎรและกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย คุยกับวอยซ์ออนไลน์หลังจากจบรายการ "ถามตรงๆ กับจอมขวัญ" ที่เธอได้เผชิญหน้าและแลกเปลี่ยนกับ ‘เอ๋’ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ
“วันนี้ได้เรียนรู้หลายอย่างเลยค่ะ” มายด์ เริ่มต้นหลังจากได้พูดคุยกับคนที่เธอเรียกว่า “พี่เอ๋”
เธอบอกว่าฝ่ายรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ชุมนุม ไม่ได้เข้าใจกลุ่มราษฎรและอาจรวมถึงไม่ได้มีความ “อยากจะเข้าใจข้อเรียกร้อง” ของประชาชนอย่างเต็มที่
“หลายสิ่งที่เขาพูด มันไม่ใช่จุดประสงค์ของผู้ชุมนุมและดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่การโจมตีผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจ เช่น เรื่องที่บอกว่าเราอยากจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง หรือเราต้องการแตะต้องศาสนา เรื่องเหล่านี้หนูมองว่าไม่แฟร์ ถ้ามองดูการชุมนุมจริงๆ ข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อของประชาชนชัดเจนมาก
1.ประยุทธ์ลาออก 2.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” มายด์บอก และตั้งข้อคำถามว่ารัฐบาลอยากจะเข้าใจและรับฟังประชาชนจริงๆ หรือไม่
มายด์บอกว่าประชาชนยืนยันชัดเจนแล้วว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อนที่จะยุบสภาเพื่อทำให้เกิดกติกาที่เป็นธรรมก่อนคืนอำนาจให้กับประชาชน
“เราบอกแล้วว่าอันไหนควรต้องทำก่อนและหลัง ถ้าหากได้ติดตามการชุมนุมจริงๆ จะเข้าใจ เราต้องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนที่จะยุบสภา แต่สิ่งที่ได้ฟังจากพี่ปารีณาคือ งงๆ อยู่ ไม่เข้าใจว่าจะยุบสภาก่อนหรือว่าจะร่างก่อนกันแน่ ทั้งที่จริงแล้วเรามีข้อเรียกร้องและมีการนำเสนอโรดแมปอย่างชัดเจนด้วยค่ะ”
ข้อดีของการได้พูดคุยกับ เอ๋ ปารีณา คือ การได้เรียนรู้ว่าอีกฝ่ายมองผู้ชุมนุมอย่างไร เพื่อให้ราษฎรทำการบ้าน พัฒนาสื่อสารและเรียกร้องในอนาคต
เมื่อเร็วๆ นี้ วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แสดงทัศนะว่า มีคนอยู่เบื้องหลังม็อบราษฎร โดยสั่งการผ่านทางโทรศัพท์มือถือ จนทำให้เด็กๆ ออกมาชุมนุม กลายเป็นปัญหาในสังคมและครอบครัว
“ดูคำสั่งจากมือถือ มาถึงจุดหมายนี้นั่งลง ยืนขึ้น ผมถึงบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแล้วให้ลูกหลานเราเดินออกมาข้างหน้า เป็นอะไรลูกหลานเรารับหมด แต่กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังผมว่าไม่เกิน 5-10 คน สั่งซ้ายหันขวาหัน อีกสองชั่วโมงอนุสาวรีย์ชัยฯ อีกสองชั่วโมงสยามสแควร์” เขาบอก “ไม่สงสัยบ้างเลยเหรอคนที่สั่งตามมือถือ ใคร..ทำไมต้องมาทำอย่างนี้กับลูกหลานของเรา” วิรัช บอกผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand
แกนนำราษฎร ที่พื้นเพเป็นชาวจังหวัดสระบุรี บอกว่า ผิดหวังกับการอธิบายนี้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อออกจากปากของคนระดับประธานวิปรัฐบาล
“หนูว่าคำนี้ดูถูกประชาชนมากเลยนะคะ ดูถูกประชาชนมาก การบอกว่าลูกหลานของท่านที่เป็นอนาคตของชาติถูกชักจูงโดยใคร ไม่เป็นการดูถูกไปหน่อยเหรอคะ จริงๆ แล้วท่านควรจะเชื่อมั่นในตัวเด็กรุ่นใหม่ เชื่อมั่นในตัวคนที่จะเป็นอนาคตของชาติ ว่าพวกเขามีความสามารถมากพอจะตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี”
“พวกเขาควรจะมีสิทธิในการจะพูดและเรียกร้องกับบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วทุกคนที่ออกมาพูดตอนนี้ พูดในนามประชาชน ประชาชนที่อยากให้ตรงนี้ดีขึ้น เพียงแค่นั้นเอง”
เมื่อถามถึงท่าทีจากผู้มีอำนาจในการประชุมรัฐสภาวิสามัญวันที่ 26-27 ต.ค. ยิ่งถ่างความเข้าใจระหว่างฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุมหรือไม่ ?
เธอบอกว่า สุดท้ายแล้วความเข้าใจต้องเกิดจากการพูดคุยอย่างใจกว้าง จริงใจและอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรม ไม่อย่างนั้นคำอธิบายต่างๆ ก็อาจไม่มีประโยชน์
“มาฟังเราข้างนอก มาทำความเข้าใจกับประชาชนจริงๆ เพราะทุกคนพร้อมจะพูดคุยและเปิดรับอยู่แล้ว คนที่ออกมาชุมนุม เราเคารพคนในฐานะคนเท่ากันเสมอ ซึ่งหมายความว่าเราไม่ต้องการให้ใครตัดสินว่าเราด้อยกว่า เราต่ำกว่า หรือเราไม่มีค่าพอที่จะพูด”
ในรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ เอ๋ ปารีณา แนะนำให้มายด์เรียนรู้ที่จะเป็นนักประชาธิปไตย ซึ่งมายด์เชื่อว่า ประชาชนหลายคนเห็นอยู่แล้วว่า "พวกเรารับฟังและยืนข้างประชาธิปไตยมากขนาดไหน"
“พวกเราก็ถอยกันจนหลังชิดฝาแล้ว ถ้าถอยไปอีกนิดก็คงจะทะลุฝาไปแล้ว
“จริงๆ คนที่จะต้องรับฟังและยอมรับความเป็นประชาธิปไตยควรเป็นฝ่ายรัฐเวลานี้มากกว่าไหม เพราะดูเหมือนว่า รัฐบาลมองข้ามความเป็นประชาธิปไตยไปเลย ด้วยการปิดปาก ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ใช้กฎหมายจับนักศึกษาประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองเข้าไปอยู่ในคุก นี่แหละค่ะที่หนูมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย”
นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ยืนยันว่าแรงกดดันทางกฎหมายและความไม่เข้าใจจากรัฐบาล ไม่ได้ลดทอนข้อเรียกร้องหรือพลังในการชุมนุม ซึ่งทางออกอย่างสันติคือการพูดคุย
“ประชาชนที่ออกมามีทางออกเสมอ ยิ่งถ้าเกิดจากการพูดคุยร่วมกันไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม มาหาทางออกร่วมกันว่า เราจะอยู่ในสังคมร่วมกันอย่างไร หนูว่าอันนี้เหมาะสม การพูดคุยกันไม่ควรจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิทางการเมือง ควรจะเป็นการพูดคุยเพื่อหาทางออกให้กับประชาชนมากกว่า” เธอทิ้งท้าย