ไม่พบผลการค้นหา
‘ขจิตร’ เผยค่าโง่คลองด่าน ‘ประยุทธ์’ รวมหัว ‘วิษณุ’ จงใจฝ่าฝินกฎหมาย อนุมัติงบกระทรวงจ่ายชดเชยเอื้อพวกพ้อง ทั้งที่ศาลปกครองยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ประจานรู้ทั้งรู้แต่ยังทำ เขาเรียกโคตรโกง ลั่นกฎหมายไม่มีให้ผู้ยิ่งใหญ่ทำตาม

วันที่ 21 ก.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน เป็นวันที่สาม ซึ่งมี ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยก่อนการอภิปรายของ ขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ที่จะอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ขจิตร ได้หารือว่า ในเมื่อนายกรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายยังไม่มาในที่ประชุม แล้วตนจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร หากนายกฯ ไม่ได้ฟังการประชุม ก็เท่ากับตนพูดลับหลัง ซึ่งตนไม่ประสงค์ทำ เพราะเป็นสุภาพบุรุษ จะอภิปรายโดยไม่มีใครมาฟังนั้นไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเสื่อมเสีย ชวน จึงตอบว่า ตนก็ไม่ทราบว่านายกฯ อยู่ที่ไหน แต่เป็นสิทธิของ ขจิตร ที่จะอภิปรายหรือไม่อภิปรายก็ได้ ทำให้ ขจิตร กล่าวว่า ถ้าจะเอาแบบไม่มีข้อตกลงกันก็ได้

“เอาก็เอา เป็นอันว่าเอาแบบนี้นะ แบบที่ไม่มีรัฐมนตรีมานั่งแม้แต่คนเดียว เอาแบบที่ไม่ต้องฟังข้อตกลงของวิป ต่อไปนี้ไม่ต้องมีอะไรแล้วสภานี้” ขจิตร กล่าว

จากนั้น ขจิตร ดำเนินการอภิปราย โดยระบุว่า นายกฯ ควรลาออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่การอภิปรายฯ วันแรก ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวหาแล้ว แต่ในเมื่อดื้อด้านอยู่ก็ต้องฟังต่อไป พร้อมกล่าวหาว่า นายกฯ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 48 ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด ประชาชนสูญเสียกว่า 3.48 หมื่นล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. มีมติเสมือนไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ อย่างรุนแรง จนไม่อาจไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปได้

ขจิตร ได้เผยถึงกรณีค่าโง่คลองด่าน เมื่อปี 2540 กรมควบคุมมลพิษ ลงนามในสัญญาจ้างกิจการร่วมค้า แต่หลังจากนั้น กรมควบคุมมลพิษได้ยื่นร้องกิจการร่วมค้าต่อศาลปกครองกลาง และศาลยุติธรรม เนื่องจากพบว่าสัญญาไม่สมบูรณ์ แต่ภายหลังศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน กระทั่งปี 2558 มติ ครม. 4.852 พันล้านบาท อนุมัติงบกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปชำระแก่บริษัทคู่ความ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นเบื้องหลังเป็นนักการเมืองใหญ่ ที่อาจจะเป็นพวกพ้องกับรัฐบาล

โดย 2 บุคคลที่รับผิดชอบการอนุมัติงบฯ มูลค่า 4.852 พันล้านบาท นั้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ศาลยังคงพิจารณาอยู่ ไม่ควรดำเนินการใดๆ ไปก่อนจะได้ฟังคำสั่งศาล ตามมาตรา 46 ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา แล้ว วิษณุ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย จึงจงใจฝ่าฝินกฏหมายนี้ จนกระทั่ง 2560 ศาลฎีกาพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษชนะคดี และต้องชดใช้อีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท เป็นความเสียหายที่รัฐบาล คสช. สร้างต่อประเทศ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. ชุด คสช. มีมติจ่ายเงิน 4 พันกว่าล้านบาทให้เอกชนเป็นค่าโง่ ยังถือเป็นความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ผิดกฎหมาย มาตรา 46 ป.วิ.อาญา รวมถึงฐานความผิด ป.อาญา มาตรา 59 และอีกหลายข้อ ถือเป็นความผิดที่กระทำแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ยังคงลอยนวลสืบทอดอำนาจอยู่ จนอาจกล่าวได้ว่าประเทศนี้ไม่มีกฏหมายให้ผู้ยิ่งใหญ่ปฏิบัติตาม สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไรก็ได้ แม้ไม่มาฟังอภิปรายฯ ประธานฯ ยังอนุโลมให้ 

“เขาเรียกว่าโกงชาติ เป็นพฤติกรรมของคนไม่ดีไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป ถ้ารู้อยู่ แล้วไม่ทำ โดยเห็นแก่พวกพ้องตัวเอง แล้วก็ไปขอแบ่งเขาด้วยนี่ โกงโคตรๆ” ขจิตร ระบุ