‘วอยซ์’ ชวนดูขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเริ่มต้นด้วยช่องทางแรก ตามที่ ‘วิษณุ เครืองาม’ รองนายกรัฐมนตรี และฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล เคยให้สัมภาษณ์ว่าคดีของทักษิณนั้นไม่สามารถกักขังที่บ้านได้ จะต้องส่งตัวไปยังเรือนจำ แต่เขาสามารถเขียนฎีกาถวายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรือนจำ
อย่างไรก็ตาม แนวทางที่อดีตนายกฯ จะออกจากเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษมีอยู่ 3 ช่องทางด้วยกัน ประกอบไปด้วย
1.การขอพระราชทานอภัยโทษแบบเฉพาะราย อดีตนายกฯ สามารถทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ตั้งแต่เข้าเรือนจำ ซึ่งส่วนนี้แล้วแต่พระบรมราชวินิจฉัย ไม่อาจกำหนดระยะเวลาและผลลัพธ์ และหากถูก ‘ยกฎีกา’ จะไม่สามารถขอพระราชอภัยโทษได้อีกภายใน 2 ปี
2.การลดโทษ มีองค์ประกอบสำคัญคือต้องถูกจำคุกอย่างน้อย 6 เดือน และมีข้อแม้ต้องเลื่อนขั้นเป็น ‘นักโทษชั้นเยี่ยม’ ขึ้นไป ทั้งนี้นักโทษทุกคนเมื่อแรกเข้าเรือนจำ จะเริ่มต้นที่ ‘ชั้นกลาง’ การเลื่อนชั้นตามระยะเวลาไปในชั้นดี ดีมาก เยี่ยม หรือชั้นเลวนั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามข้อบังคับราชทัณฑ์ การลดโทษจะค่อยๆ ลดเดือนละ 3-5 วันแล้วแต่ชั้นของนักโทษสะสมไป
3.การพักการลงโทษ สิทธินี้มีอยู่ในกลุ่มนักโทษที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปด้วย ซึ่งกำหนดว่าต้องเป็นนักโทษที่รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ (กรณีของทักษิณคือ 2 ปี 6 เดือนเศษ) หากเข้าเงื่อนไขก็จะได้รับการปล่อยตัวแล้วอยู่ในการคุมประพฤติที่บ้านแทน โดยรายละเอียดมีดังนี้
หากมองในระเอียดตามหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่เงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษ ที่แบ่งเป็น 2 ประเภท จะมีองค์ประกอบตามแนวทางดังนี้
1.การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปในวาระต่างๆ
เป็นการพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ผู้ต้องโทษ โดยการตราพระราชกฤษฎีกา ตามการถวายคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อพระมหากษัตริย์ ในกรณีนี้ทางราชการจะดำเนินการให้ทุกขั้นตอน ผู้ต้องราชทัณฑ์ไม่ต้องดำเนินการใดๆ
การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป มักจะมีขึ้นในวโรกาสมหามงคลต่างๆ เกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งจะกำหนดให้ลดโทษลดหลั่นกันไปตามแต่ละลักษณะคดีที่กำหนดตามแนบท้ายพระราชกฤษฎีกา และไม่แน่ชัดว่าจะมีการพระราชกฤษฎีกาลักษณะนี้เมื่อใด
การขอพระราชทานอภัยโทษแบบทั่วไป มีเงื่อนไขต้องติดคุก 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ ยกตัวอย่างเช่น ทักษิณ ต้องโทษจำคุกรวม 8 ปี ต้องติดคุกมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี 6 เดือนเศษ จึงจะได้รับการลดหย่อนโทษ
2. การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย
การพระราชทานอภัยโทษแก่ ‘นักโทษเด็ดขาด’ เป็นรายบุคคล โดยจะมีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาตามการถวายคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่วนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย
อย่างไรก็ดีการขอพระราชทานอภัยโทษ หากมีหนังสือแจ้งผลว่า ‘ยกฎีกา’ จะไม่สามารถยื่นฎีกาได้อีกภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันถูกยกฎีกา
‘การลดโทษ’
ตามหลักเกณฑ์การลดโทษ ผู้ต้องขังต้องมีคุณสมบัติเป็นนักโทษเด็ดขาดที่จำคุกมาตั้งแต่ 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และให้ลดโทษตาม ‘ชั้น’ ของนักโทษคือ
โดยเรือนจำจะรวมวันลดต้องโทษสะสมของผู้ต้องขังทุกรายไว้ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกรมราชทัณฑ์พิจารณาอนุมัติให้ปล่อยตัวเมื่อมีวันลดโทษสะสมเท่ากับโทษที่เหลือ โดยการพิจารณาจะทำทุกเดือนหากไม่กระทำผิดวินัยเสียก่อน
‘พักการลงโทษ’
การพักการลงโทษ คือ การปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาดก่อนครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาโดย อยู่ภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติ หากฝ่าฝืนจะถูกนำตัวกลับมาคุมขังในเรือนจำตามเดิม และถูกลงโทษทางวินัย
หลักเกณฑ์การพิจารณาพักการลงโทษ คือ ความประพฤติในเรือนจำ, พฤติการณ์ก่อนถูกจำคุก, ความน่าเชื่อถือของผู้อุปการะ, ความปลอดภัยของสังคม, ประวัติการต้องโทษ
ผู้ที่จะได้รับพักการลงโทษต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นนักโทษเด็ดขาดที่จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ หรือเป็นนักโทษเด็ดขาดที่จำคุกตลอดชีวิต และต้องรับโทษมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 10 ปี
การพักการลงโทษ ‘กรณีปกติ’ จะพิจารณาตามชั้นของนักโทษ
การพักการลงโทษ ‘กรณีพิเศษ’
1.นักโทษเด็ดขาดที่เจ็บป่วยร้ายแรงและชราภาพ
2.นักโทษเด็ดขาดที่มีความพิการด้านต่างๆ ตามที่ราชทัณฑ์กำหนดเงื่อนไข
3.นักโทษเด็ดขาดที่อายุ 70 ปีขึ้นไป
4.นักโทษที่สร้างชื่อเสียงให้ราชทัณฑ์
เมื่อได้พักโทษแล้วยังต้องอยู่ระหว่างการคุมประพฤติตามระยะเวลาที่ราชทัณฑ์กำหนด และผู้ถูกคุมประพฤติจะต้องประพฤติปฏิบัติตามเงื่อนไข 8 ข้อ คือ
1.จะต้องพักอาศัยอยู่ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้กับเรือนจำ
2. ห้ามออกนอกเขตท้องที่ที่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ห้ามประพฤติตนเสื่อมเสีย เช่น เล่นการพนัน ดื่มสุรา ยาเสพย์ติด และกระทำผิดอาญาขึ้นอีก
4. ประกอบอาชีพโดยสุจริต
5. ปฏิบัติตามลัทธิศาสนา
6. ห้ามพกพาอาวุธ
7. ห้ามไปเยี่ยมบ้านหรือติดต่อกับนักโทษอื่นที่ไม่ใช่ญาติ
8. ให้ไปรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติเรือนจำ เจ้าพนักงานปกครอง หรือหัวหน้าสถานีตำรวจทุกเดือน ถ้าผู้ได้รับการปล่อยตัว ประพฤติตนตามเงื่อนไขด้วยดีตลอด ก็จะได้รับใบบริสุทธิ์ และพ้นโทษไปตามคำพิพากษา เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติสืบต่อไป
อ้างอิง
http://www.correct.go.th/infosaraban64/letter/filepdf/1618563834.pdf
http://www.correct.go.th/popnogb/menu2/m26.html
https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1892