เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ธ.ค. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานที่ประชุมได้แจ้งรับทราบคำสั่งศาลฎีกาด้วยศาลฎีกาได้มีคำสั่งรับคำร้องคดีหมายเลขดำที่ คมจ 4/2564 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้ร้อง กับ อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้คัดค้าน เรื่อง การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (ชั้นรับคำร้อง) ไว้พิจารณาวินิจฉัย และมิได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เป็นผลให้อนุรักษ์ ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าจะมีคำพิพากษา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 235 วรรคสาม ดังนั้น ส.ส.เท่าที่มีอยู่และปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้เท่ากับ 476 คน องค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเท่ากับ 238 คน

กระทั่งเวลา 11.25 น. ระหว่างที่ ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 3 ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 2564 เพื่อให้ที่ประชุมลงมตินั้น ประธานได้กดออดเรียกสมาชิกฯ เข้าห้องประชุมเพื่อแสดงตนเป็นองค์ประชุม

โดย รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้เช็คองค์ประชุมแบบขานชื่อ ทำให้ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นกล่าวว่า การรักษาองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของ ส.ส. ฝั่งรัฐบาล ทำให้ รังสิมา ลุกขึ้นระบุอีกครั้งว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจที่ จุลพันธ์ เห็นว่าองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของ ส.ส. รัฐบาลเท่านั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะความจริงการรักษาองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของ ส.ส. ทุกคน ทุกฝ่าย

ขณะที่ ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นโต้ว่า อยากให้ น.ส.รังสิมา นึกถึงตอนที่เป็นฝ่ายค้าน และพรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายรัฐบาล ในเวลานั้นพรรค พท. โดนฝ่ายค้านขอนับองค์ประชุมวันละ 5 ครั้ง ดังนั้นเรื่องวอล์กเอาต์กลายเป็นเรื่องปกติ

ทำให้ ส.ส.ในที่ประชุมต่างโต้เถียงกันไปมา ขณะที่ พล.ต.ท.สุพิศาล ภักดีนฤนาท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอให้นับองค์ประชุมแบบเสียบบัตรแสดงตน ส่วน รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อรายบุคคล

ส่วน ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะวิปรัฐบาล กล่าวว่า เสียงข้างมากในการตัดสินใจต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล รัฐบาลต้องรวมเสียงข้างมากเป็นรัฐบาล แต่ขณะเดียวกัน ตนอยากเรียนว่าเสียงข้างน้อยถ้าต้องการไม่เห็นด้วยกฎหมายฉบับใดมีสิทธิทำได้ แต่กรณีนับองค์ประชุมพิจารณาญัตติหน้าที่ทุกฝ่ายก็ควรไม่ให้เกียรติเกิด แต่ควรนำเรื่องนี้ไปหารือที่เราจะประชุมร่วมกันเสนอต่อไป ผลจะเป็นอย่างไรแต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบ

กระทั่งเวลา 11.39 น. ศุภชัย ได้ให้สมาชิกเสียบบัตรแสดงตนเพื่อตรวจสอบองค์ประชุมว่าจะนับองค์ประชุมแบบใดตามที่มีความเห็นแย้งในที่ประชุม โดยประธานได้ใช้เวลารอสมาชิกแสดงตนประมาณ 10 นาที พร้อมทั้งแจ้งให้สมาชิกเร่งเข้าห้องประชุมเพื่อแสดงตน แต่สมาชิกในห้องประชุมยังคงบางตา

"พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่าใครมาประชุม ใครไม่มาประชุม" ศุภชัยระบุระหว่างรอสมาชิกเข้าแสดงตนเป็นองค์ประชุม

จากนั้น ศุภชัย ชี้แจงระหว่างรอสมาชิกเข้าแสดงตนว่า ไม่มีกฎหมายข้อใดเขียนว่าเป็นหน้าที่รัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เป็นหน้าที่ ส.ส.ทุกคน เพียงแต่ที่ผ่านมากรณีฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยบางประเด็นหรืองดออกเสียง ไม่แสดงตน เป็นประเพณีปฏิบัติได้ แต่ถ้านำองค์ประชุมมาใช้ทุกเรื่องก็เสียเวลาการทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน ทำให้ จุลพันธ์ ประท้วงว่า ประธานต้องการถ่วงเวลา และการแสดงความเห็นของศุุภชัย ถือว่าไม่เป็นกลาง

ที่สุด ศุภชัย จึงแจ้งผลการนับองค์ประชุมว่ามีเพียง 235 คน จากสมาชิกทั้งหมด 476 คน ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ พร้อมสั่งปิดประชุมในเวลา 11.50 น.

ผู้สื่อข่าวรายนงานจากรัฐสภาว่า สภาล่มครั้งนี้ ถือว่าเป็นการประชุมสภาฯ ที่ล่มซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาฯ ก็มีองค์ประชุมไม่ครบ จนทำให้ สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้นต้องชิงปิดประชุมก่อนขานผลองค์ประชุม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• สภาล่ม! 'สุชาติ' เผยองค์ไม่ครบ ก่อนชิงปิดประชุมทันที ไม่ขานผลแสดงตน
• รอยร้าว 'พลังประชารัฐ' พ่นพิษ 'สภาล่ม' จุดตายรัฐบาล 'ประยุทธ์'
• ‘ไพบูลย์’ โวย 'สุชาติ' ให้เวลา ส.ส.น้อย ทำสภาล่ม แฉข้อมูลฝ่ายค้านไม่โหวตแสดงตน