ไม่พบผลการค้นหา
พระประนมกร ร่วมเดินทะลุฟ้าตั้งแต่โคราช-กรุงเทพฯ โดนจับไปด้วยหลังตำรวจสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าเมื่อเช้านี้ เขาถูกบังคับสึกและนำตัวไปควบคุมที่ บก.ตชด.1 เช่นเดียวกับประชาชนเกือบ 70 คน

 

7 มี.ค. 64 เดินทะลุฟ้า

ประนมกร ปราณีต หรือ พระประนมกรพุทธิเชฏโฐ (แปลว่า ผู้มีปัญญาที่ประเสริฐ) อายุ 54 ปี เป็นพระ 1 ใน 2 รูปที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจับที่หมู่บ้านทะลุฟ้าเมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา แล้วนำตัวไปทำการสึกกับเจ้าคณะแขวงดุสิตที่วัดเบญจมบพิตร ก่อนพาไปควบคุมตัวร่วมกับผู้ต้องหาอื่นอีกเกือบ 70 รายที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภาค1)

พระประนมกรเป็นพระที่บวชมาแล้ว 13 พรรษา วัดต้นสังกัดคือ วัดเลียบบ้านไผ่ ต.ไผ่ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ แต่เมื่อพ้นนวกะ หรือพ้นช่วงที่พระบวชใหม่ต้องอยู่กับครูบาอาจารย์เป็นเวลา 6 พรรษาแล้ว ท่านก็ออกธุดงค์และจำพรรษายังที่ต่างๆ เพื่อออกแสวงโมกขธรรม

พระประนมเล่าว่า ก่อนจะมาร่วมขบวน ‘เดินทะลุฟ้า’ กับ ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่เริ่มเดินร่วมกันตั้งแต่โคราชถึงกรุงเทพฯ นั้น ท่านจำวัดอยู่ในป่า แต่ก็ยังติดตามการเมืองอยู่ตลอดจึงรู้ข่าว

“ติดตามเรื่องการเมืองตลอดตั้งแต่ยังไม่บวชแล้ว ติดตามทุกช่องทาง อ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี ทางโทรศัพท์ก็ด้วย สมัยยังไม่บวช ครั้งหนึ่งในม็อบประท้วงพล.อ.สุจินดา คราประยูร ตอนนั้นไปอยู่สนามหลวงเพราะอยากดูคาราบาวเท่านั้นเอง แต่ก็ถูกปราบถูกสลายการชุมนุมไปด้วย เพราะเขาไม่ให้ออกมา”

สาเหตุที่ตัดสินใจออกมาร่วมเดินทะลุฟ้านั้น พระประนมกรกล่าวว่า “รัฐบาลนี้ไม่เคยโทษตัวเองในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โทษแต่ชาวบ้าน นักศึกษา ประชาชน เราก็คิดว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ พอเด็กมันมาพูดความจริงก็ยังไปจับมัน มันก็เหมือนจับอาตมานี่แหละ ขนาดอาตมาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินมากับเขาแล้วก็นั่งฟังเฉยๆ ฟังเด็กมันคุยกัน สนทนาเสวนากันเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ยิ่งเข้าใจใหญ่เลย ถ้าเด็กมันไม่ออกมาพูด เราจะไปรู้หรือตื้นลึกหนาบาง เราก็ตาบอดอยู่นั่นแหละ กว่าจะตาสว่างก็แทบจะตายแล้ว อายุเท่าไหร่แล้ว”

“ตอนเราเดิน คนที่ไม่เห็นด้วยก็ด่า พระหัวควย แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาหรอก ถูกต้องแล้วที่เรามีความเห็นต่าง แต่อย่าเอาความเห็นต่างมาทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เด็กเห็นต่างก็หาว่าเด็กชังชาติ เด็กชังชาติที่ไหน เด็กชังประยุทธ์ อาตมาไม่ได้ชังกลุ่มสีเหลืองด้วย อาตมาชังประยุทธ์ อาตมาไม่ได้มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน”

เอกสารพระประนมกร
  • ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนทวีตบันทึกของพระประนมกรขณะถูกคุมตัวอยู่ที่ บก.ตชด.ภาค1 (28 มี.ค.64)

สำหรับเหตการณ์เมื่อเช้านี้ เมื่อ คฝ.เห็นพระประนมกรซึ่งมักจำวัดที่บริเวณอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรที่อยู่ใกล้ๆ กันเดินออกมา จึงได้เข้าทำการควบคุมตัวแล้วนำไปตัวไปสึกที่วัดเบญจมบพิตร เขาเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

“พอมาถึงวัดเบญฯ มีสำนักพุทธ์เข้ามา สอบสวนสืบสวนเรา สิ่งไหนที่เราทำเราก็บอกว่าใช่ เช่น มีรูปภาพที่เดิน ส่วนไหนไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่ เขาบอกว่ากฎของมหาเถรสมาคมไม่ให้พระมายุ่งกับการเมือง อาตมาก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้ว่ากฎเขามีอะไร อาตมารู้อย่างเดียวคือ กฎของพระพุทธเจ้า กฎพระธรรมวินัย จากนั้นก็โทรไปที่วัดที่เราสังกัด พอเขาไม่รับเข้าสังกัดวัดเขา มันเป็นหน้าที่ของพระครูที่อยู่ที่นี่ ท่านเลยบอกให้อาตมาสึก อาตมาก็ขี้เกียจให้เหตุให้ผล เพราะคนเรามันมีเหตุมีผลนั่นแหละมันถึงไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็เลยไปกราบพระพุทธรูปแล้วพูดบางอย่าง เขาก็ถอดผ้าเหลืองแล้วนุ่งผ้าสีขาว แค่นี้ จบ”

“อาตมาไม่ได้เอ่ยคำสึก เหมือนหลวงพ่อพิมลธรรมนั่นแหละ เราจะพูดอะไรก็ได้ แค่เป็นพิธีการ เพราะตอนนั้นไม่อยากขัดขืนหรือดื้อกับเขา คฝ.ก็อยู่ตรงนั้น ทำพิธีให้เขาดูแค่นั้น มันคือพิธีกรรม ไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นสัจธรรมความจริง การที่เราจะเป็นพระไม่ได้อยู่ที่การแต่งตัว มันอยู่ที่จิตสำนึกและหน้าที่ของคนแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าบุคคลที่จะเป็นพระ ไม่จำเป็นต้องโกนหัวโล้นๆ แล้วก็ห่มผ้าเหลืองๆ แม้แต่เป็นโยมก็เป็นพระได้ ถ้าจิตใจเราเป็นพระ”

5 มี.ค. 64 เดินทะลุฟ้า

เมื่อถามว่า มีคนจำนวนมากตั้งคำถามว่าการร่วมชุมนุมเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ เขาตอบว่า ที่บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์นั้นถูกต้องแล้ว สงฆ์คือพระ 4 รูปขึ้นไปที่มาประชุมร่วมกันว่าเรื่องอย่างนี้จะออกไปช่วยเด็กมันไหม ถ้าสงฆ์ตกลงว่าออกไปก็แสดงว่าเป็นกิจของสงฆ์ ถ้าสงฆ์บอกว่าออกไปไม่ได้ อย่างนี้ก็แปลว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่อาตมาออกมารูปเดียว มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ มันเป็นกิจของพระ

“พระก็คือส่วนหนึ่งในสังคม เมื่อเราเห็นว่าสังคมทะเลาะเบาะแว้งกัน เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตีเด็กบ้าง เอาน้ำฉีดเด็ก ทำร้ายเด็กบ้าง เราก็ต้องมาเพราะสังคมมันไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ศาสนาพุทธสอนให้คนถูกต้อง สอนให้คนยุติธรรม และเป็นคนมีศีลมีธรรม มันเป็นหน้าที่ของพระเต็มๆ เลย เมื่อพระเห็นสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นในสังคม พระต้องออกมาติ มาเตือนพวกเขาว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ถูก มันจะกลายเป็นบาปติดเนื้อติดตัวเราไป”