กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 รับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีมติให้กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายในภาพรวมไม่น้อยกว่า 93% การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำไม่น้อยกว่า 98% การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่า 75% และการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวม รายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน 100% โดยกำหนดให้หน่วยรับงบประมาณที่มีรายการปีเดียว เร่งก่อหนี้ผูกพันให้เสร็จสิ้นทุกรายการภายในไตรมาสที่ 2
ทั้งนี้ หากหน่วยงานมีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีโดยเร็ว นอกจากนี้ได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้ปรับแผนการลงทุนให้สามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้นในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี (Front- Loaded) รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (กรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ไตรมาส 1 (1 ตุลาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564) มีภาพรวมการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 983,614 ล้านบาท คิดเป็น 31.73% ของวงเงินงบประมาณ 3,100,000 ล้านบาท จำแนกเป็น รายจ่ายลงทุน จำนวน 97,003 ล้านบาท คิดเป็น 16.03% ของวงเงินงบประมาณ 605,262 ล้านบาท รายจ่ายประจำ จำนวน 886,611 ล้านบาท คิดเป็น 35.54% ของวงเงินงบประมาณ 2,494,738 ล้านบาท
สำหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการเบิกจ่าย จำนวน 75,530 ล้านบาท คิดเป็น 31.84% ของวงเงินงบประมาณ 237,241 ล้านบาท ทั้งนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คิดเป็น 3.17%
“ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมบัญชีกลางได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งให้คลังเขต คลังจังหวัด กำกับดูแลหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ เร่งรัดการก่อหนี้การดำเนินการ และการเบิกจ่าย เพื่อให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว