ในสมัยกรีกเคยมีการเลือกตั้งแบบจับสลาก (Sortition) ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า เคโลเทอเรียน (Kleroterion) เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง
ในประเทศจีน มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่า เมื่อ 2,000 ปีก่อน เคยมีการออกสลากแบบ Keno(ตัวเลข 80 ตัว) เพื่อระดมทุนเข้าคลังหลวงนำไปสร้างกำแพงเมืองจีน
เมื่อเกือบ 300 ปีที่แล้ว สมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 เป็นช่วงที่ชาวอังกฤษเริ่มเข้าไปตั้งอาณานิคมยังทวีปอเมริกา รัฐบาลอังกฤษได้ออกลอตเตอรี่ต่อเนื่องเป็นเวลา 22 ปี (ค.ศ. 1744 – 1766 ) เพื่อเรี่ยไรเงินสนับสนุนการสร้างระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ตั้งอาณานิคม ได้เงินจำนวนมากไปสร้างถนน สะพาน, โบสถ์ และมหาวิทยาลัย
ในประเทศไทย เริ่มมีหวยครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 คนจำนวนมากไม่ยอมนำเงินมาใช้ แต่นำเงินไปใส่ไหฝังไว้ในดิน ทางราชการต้องการให้คนนำเงินมาใช้จ่ายเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนมีเงินมาพัฒนาประเทศมากขึ้น จึงอนุญาตให้ชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในไทยจัดตั้งโรงหวยขึ้น เริ่มแรกเป็นหวยรูปดอกไม้ แล้วพัฒนามาเป็นหวย "กอ ขอ" โดยโรงหวยเป็นของรัฐที่มีเอกชนเป็นผู้ได้รับสัมปทานดำเนินการ
ในสมัยของรัชกาลที่ 5 มีการออกล็อตเตอรีขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อหารายได้บำรุงสาธารณกุศล จนกระทั่งรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 ได้ให้ออกล็อตเตอรี่เป็นประจำ และในปี พ.ศ. 2482 ได้จัดตั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้น
สมาคมสลากกินแบ่งโลก แบ่งสลากออกเป็น 5 ประเภท
สมาคมสลากกินแบ่งโลก หรือ World Lottery Association (WLA) จัดแบ่งประเภทของสลากทั้งหมดออกเป็น 5 ประเภท คือ
1.สลากแบบธรรมดา Conventional Lottery สลากชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นสลากแบบประเภท Passive จะต้องซื้อในจำนวนมากจึงจะมีโอกาสถูกมากขึ้น เลือกเลขได้เฉพาะที่มีขาย ซึ่งก็คือรูปแบบสลากในประเทศไทยปัจจุบัน นิยมเล่นกันมากใน ไทย ญี่ปุ่น สเปน และเยอรมนี ตามรูปแบบกำหนดการออกรางวัลของสลากประเภทนี้ แต่ละประเทศจะมีการกำหนดวันออกที่ไม่เหมือนกัน ในบางประเทศอาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือนในการออกรางวัลสลากแต่ละงวด
2.สลากล็อตโต้ LOTTO สลากชนิดนี้เป็นเกมแบบ Active ผู้เล่นทุกคนมีโอกาสในการเลือกซื้อสลากหมายเลขใดก็ได้ หรือจำนวนเท่าใดก็ได้ แล้วแต่ความประสงค์ที่จะต้องการซื้อ เช่น แบบ 6/49 หมายความว่า เลือกตัวเลขได้ 6 ตัว จากทั้งหมด 49 ตัว การถูกรางวัลจะได้มากหรือได้น้อย ขึ้นอยู่กับหมายเลขที่เลือกเล่นถูกรางวัลมากน้อยแค่ไหน หากถูกทั้งหมด 6 ตัว ก็จะถูกรางวัล “แจ็คพอต” เงินรางวัลที่ได้แต่ละครั้ง จะคิดตามสัดส่วนยอดจำหน่ายในแต่ละงวด หากงวดใดไม่มีผู้ถูกรางวัล “แจ็คพอต” เงินรางวัลทั้งหมดก็จะถูกยกไปทบในงวดต่อไป และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเล่นจำนวนที่มากขึ้น
3.สลากแบบรู้ผลทันที INSTANT LOTTERY เมื่อผู้เล่นซื้อสลากมา จะต้องใช้เหรียญขูดดูตัวเลข และจะทราบผลทันทีว่าถูกรางวัลหรือไม่
4.สลากตัวเลข THE NUMBERS GAME มีทั้งสลากประเภทแบบเลือก 3 ตัวเลข และ 4 ตัวเลข ผู้เล่นจะเลือกหมายเลขใดก็ได้ที่ต้องการ ตั้งแต่ 0000-9999 จากนั้นให้เลือกรูปแบบการเล่น เช่น แบบถูกต้องทั้งตัวเลขและตำแหน่ง (Straignt) /แบบถูกต้องเฉพาะตัวเลข แต่ตำแหน่งสลับกัน (Box) หรือ แบบถูกเฉพาะตัวเลขคู่หลัง (Back pair) จากนั้นเลือกวันที่และจำนวนเงินที่จะเล่น แล้วรอฟังผลการออกรางวัล บางประเทศออกรางวัลทุกวัน /หรือทุกสัปดาห์
5.สลากกีฬา หรือ TOTO รูปแบบของสลากกีฬามีลักษณะเหมือนกับการทายผลการแข่งขันกีฬา ต้องอาศัยโชค ความรู้และประสบการณ์ของตัวผู้เล่นเองเป็นหลัก
แต่ละปีคนอเมริกันซื้อลอตเตอรี่มากเกือบเท่างบประมาณประเทศไทย
ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ออกลอตเตอรี่ถูกต้องตามกฎหมายถึง 48 ราย ครอบคลุม 45 รัฐ ในปี 2020 ชาวอเมริกันมียอดซื้อลอตเตอรี่มากถึง 2.67 ล้านล้านบาท ลอตเตอรี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “Mega Millions” และ “Powerball” เพราะมีเงินรางวัลสูงมาก อย่างเงินรางวัลของ Powerball ในปี 2021 สูงถึง 22,000 ล้านบาท ขณะที่ Mega Millions มีจำนวนมากถึง 31,500 ล้านบาท โดยผู้ถูกรางวัล แจ็คพอต สามารถเลือกได้ว่าจะรับรางวัลปีละ 1 งวด รวม 29-30 ปี หรือ รับทันทีในวงเงิน 1 ใน 3 ของมูลค่าทั้งหมด
ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ละประเทศออกสลากแตกต่างกัน อย่างกัมพูชา มีบริษัทได้รับสัมปทานออกสลาก 4 บริษัท โดย 2 บริษัท ออกสลากด้วยเครื่องจำหน่าย /อีก 2 บริษัท ออกสลากแบบใบ และมีการออกรางวัลทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ขณะที่ประเทศลาว เปิดขายสลากด้วยเครื่องขายหวยออนไลน์ที่ขึ้นทะเบียนแล้วทั่วประเทศราว 38,000 เครื่อง มีการออกหวยสัปดาห์ละ 3 วัน
คนไทยเกือบ 23 ล้านคน นิยมซื้อลอตเตอรี่
ข้อมูลจาก รายงานศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2563 ระบุว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปเล่นการพนันในรอบปี 2562 จำนวน 30.42 ล้านคน คิดเป็น 57% ของผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งหมดของประเทศ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) มีผู้เล่นการพนันมากที่สุด 10.91 ล้านคน รองลงมาคือ ภาคกลาง 5.59 ล้านคน ภาคเหนือ 5.2 ล้านคน /กรุงเทพฯและปริมณฑล 4.62 ล้านคน และภาคใต้ 4.1 ล้านคน
การพนันยอดนิยมอันดับ 1 คือ สลากกินแบ่งรัฐบาล มีผู้เล่น 22.75 ล้านคน อันดับสองคือ หวยใต้ดิน 17.74 ล้านคน โดยเกือบ 3 ใน 4 ของผู้เล่นหวยใต้ดิน หรือราว 13 ล้านคน จะซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลควบคู่ไปด้วย
รายงานศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ระบุว่า สลากกินแบ่งรัฐบาล ได้รับความนิยมมากกว่าหวยใต้ดินในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยเพศหญิง นิยมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมากกว่าเพศชาย กลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 30-59 ปี คือลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของสลากกินแบ่งรัฐบาล มีประมาณ 15.9 ล้านคน รองลงมาเป็นกลุ่มผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 2.57 ล้านคน ถัดมาเป็นกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน อายุ 26-29 ปี จำนวน 2 ล้านคน และกลุ่มเยาวชน 19-25 ปี ราว 1.95 ล้านคน
นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยจ่ายเงินซื้อสลากฯมากขึ้นและถี่ขึ้น โดยคนที่ซื้อสลากฯมีถึง 68.4% ที่ซื้อทุกงวด เฉลี่ยแล้วคนไทยซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมากถึง 19 งวดต่อปี โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด 37% ใช้เงินซื้อสลากงวดละ 201-500 บาท/
ทั้งนี้ประมาณการวงเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจพนันสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่ที่ 150,486 ล้านบาทในปี 2562 ส่วนธุรกิจพนันหวยใต้ดินมีวงเงินหมุนเวียนราว 153,158 ล้านบาท
ปี 2563 สำนักงานสลากฯส่งรายได้ให้รัฐกว่า 4.6 หมื่นล้าน
ข้อมูลจากรายงานประจำปีของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พบว่า นับตั้งแต่ปี 2558 รายได้ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนการพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ จนปลายปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ยอดพิมพ์ขึ้นไปถึง 114 ล้านฉบับต่องวด แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 จะทำให้ยอดการพิมพ์สลากลดลงไปต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2563 เหลือจำนวนงวดละ 67 ล้านฉบับ แต่ก็ค่อยเพิ่มขึ้นในปลายปี 2563 และกลับสู่ภาวะปกติในปัจจุบัน
โดยในปี 2558 กองสลากมีรายได้รวม 65,000 ล้านบาท แต่ในปี 2563 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเป็น 144,880 ล้านบาท
เช่นเดียวกับการนำส่งรายได้แผ่นดินที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2559 กองสลากนำส่งรายได้แผ่นดิน 25,900 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 นำส่ง 46,598 ล้านบาท
ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2563 ของกองสลาก ระบุว่า
ปี 2558 มีรายได้ 65,016.06 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 15,432.83 ล้านบาท
ปี 2559 มีรายได้ 92,222.79 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 25,919.03 ล้านบาท
ปี 2560 มีรายได้ 113,725.60 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 30,947.72 ล้านบาท
ปี 2561 มีรายได้ 136,725.87 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 40,850.44 ล้านบาท
ปี 2562 มีรายได้ 154,879.52 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 41,915.62 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้ 144,883.74 ล้านบาท เงินนำส่งแผ่นดิน 46,598.48 ล้านบาท
ย้อนดูโครงการ “หวยบนดิน” นำเงินใต้ดินมาเป็นทุนการศึกษา
ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ระหว่างปี 2546-2549 รัฐบาลได้ออก “หวยบนดิน” มาจำหน่ายควบคู่กับกับสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อหวังนำเงินหมุนเวียนในหวยใต้ดินมาพัฒนาประเทศด้านการศึกษา โดยนำผลกำไรไปสร้างประโยชน์ในหลายโครงการ
หนึ่งในนั้นคือ โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (ODOS –โอดอส - One District One Scholarship) ที่มอบทุนการศึกษาให้แก่ นักเรียนที่ยากจน เรียนดี มีความประพฤติดี และกำลังศึกษาอยู่ในระดับ ม. 6 หรือเทียบเท่า จากสถานศึกษาทุกอำเภอและกิ่งอำเภอทั่วประเทศ ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ชุมชนและท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของไทยในเวทีโลก
ปี 2546 รายได้หวยบนดิน 36,692 ล้านบาท
ปี 2547 รายได้หวยบนดิน 76,429 ล้านบาท
ปี 2548 รายได้หวยบนดิน 82,718 ล้านบาท
ปี 2549 รายได้หวยบนดิน 92,764 ล้านบาท
หวยบนดินออกรางวัลทั้งสิ้น 80 งวด โดยงวดสุดท้ายคือวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 หลังจากเกิดรัฐประหาร พ.ศ. 2549 โดย รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ สั่งยกเลิกและตั้งคณะกรรมการตรวจสอบดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
คำถามก็คือ รัฐบาลทิ้งเงินปีละเป็นแสนล้านให้กลับคืนสู่หวยใต้ดินใช่หรือไม่