19 มี.ค.62 ที่บริเวณลานอเนกประสงค์ พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ณ วงเวียนใหญ่ พรรคเพื่อชาติ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ในกรุงเทพมหานครก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมนี้พร้อมเปิดภารกิจฝ่ายประชาธิปไตยส่งพลเอกประยุทธ์กลับบ้าน นำโดย นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค นายอารี ไกรนรา นายวิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และ ผู้สมัคร ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ ก่อนเริ่มการปราศรัยพรรคเพื่อชาตินำโดยหัวหน้าพรรคประกอบพิธีสักการะ พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้
โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นปราศรัย ว่า ขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อชาติเองเป็นพรรคการเมืองขนาดเล็กที่ตระเวณหาเสียงไปทั่งประเทศ มีภารกิจคือการเพิ่มเสียงให้กับฝ่ายประชาธิปไตยให้เดินไปถึง 376 เสียง แต่หากเดินไปไม่ถึง 376 ฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องเดินไปให้ถึงอย่างน้อย 251 เสียง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ระบบบัตรใบเดียวนั้นคะแนนจะถูกล็อคเมื่อเดินมาถึงครึ่งทางของ 350 เขต พรรคขนาดใหญ่จะไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้รับชัยชนะแบบเด็ดขาด ต้องจับมือร่วมกันรวมให้ได้ 251 เสียง แม้จะมีการวางแผนกันว่า หากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่สิ่งที่ตนมีความกังวลมากที่สุดขณะนี้ มีการข่าวที่ทราบกันในหลายพรรคการเมืองว่าจะมีปรากฎการงูเห่าเกิดขึ้นอย่างมโหฬารในพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 พรรค หากเสียงของฝ่ายประชาธิปไตยไม่ชนะอย่างเด็ดขาด และอาจจะนำไปสู่วิกฤตศรัทธาทางการเมืองส่งผลต่อการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ นำมาซึ่งหายนะทางการเมือง ดังนั้นภารกิจของพรรคเพื่อชาติคือการหาคะแนนเติมให้กับฝ่ายประชาธิปไตยชนะอย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกันยืนยันว่า ระบบบัตรใบเดียวนี้ไม่สามารถเทคะแนนให้กันได้ หากคิดจะเทคะแนนกันก็จะแพ้กันหมด เหมือนพรรคพลังประชารัฐ กับพรรรคของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดังนั้นแต่ละพรรคจึงไม่สามารถออกแบบได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและในส่วนของพรรคเพื่อชาติ จะทำให้ดีที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องฮั้วกัน
ทั้งนี้ ทุกพรรคการเมืองควรจะเอาเวลาไปพูดคุยกับสมาชิกพรรคดีกว่า ไปฮั้วกันเพราะตนเชื่อว่าทุกพรรคมีปัญหาภายในกันทั้งนั้น แม้แต่พรรคพลังประชารัฐที่แต่งตัวดีเพราะการมีอำนาจรัฐอยู่ในมือสะดวกต่อจำนวนบุคคลที่มาฟังการปราศัยแต่อาจจะไม่ใช่เป็นคะแนนมาเลือกกันซึ่งมีตัวอย่างมาแล้วในการเลือกตั้งล่วงหน้าปี 2550 แต่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หากผลการเลือกตั้งไม่ออกมาตามเป้า
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในห้วงเวลา 12 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเหมือนเปิดไพ่เล่นกันหมด ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน การร่วมมือระหว่างพลเอกประยุทธ์กับนายสุเทพ นายสุเทพพูดชัดว่าพลเอกประยุทธ์เป็นลูกน้องของนายสุเทพเหมือนกันและยังเตยพูดว่า หมดเงินไปกว่า 1400 ล้านบาทตอนชุมนุม กปปส.และสุดท้ายก็ไปเปิดประตูให้พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ
ขณะเดียวกันในช่วงปลายจะเห็นว่าคนในซีกเวที กปปส.นั้นก็อยูในคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ แม้กระทั้งในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคพลังประชารัฐก็เป็นลูกน้องของนายสุเทพ คือ นายณัฐพล ทีปสุวรรณ ดังนั้นเป็นการสมคบคิด ตามทฤษฎีสมคบคิดส่วนตัวก็พยายามที่จะชวนคุยกัน แต่ดูแล้วคุยกันยาก ดังนั้นที่ตั้งคำถามกันว่า กรณีเอาดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้านนั้นจริงๆทั้งพลเอกประยุทธ์และดร.ทักษิณควรจะกลับบ้านทั้งคู่โดยไม่ต้องพึ่งการนิรโทษกรรม แต่ในความหมายของการกลับบ้านนั้นอาจแตกต่างกัน
สำหรับบรรยากาศการปราศรัยใหญ่ครั้งเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนให้ความสนใจมาร่วมฟังการปราศรัยแน่นลานหน้าอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช