"ต้องขอขอบพระคุณจากหัวใจ ขอคารวะแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ทุกท่าน เราเคยทำงานด้วยกันตั้งแต่สมัยซาร์ส หวัดนก แม้แต่สึนามิ สาธารณสุขก็มีบทบาทสำคัญมาก เรารู้ว่าทุกท่านมีความสามารถ เรารู้ว่าทุกท่านทุ่มเทเสียสละอย่างยิ่ง ท่านเป็นฮีโร่ในหัวใจของตัวดิฉันเอง และประชาชนทั้งประเทศมาโดยตลอด ในยามนี้ท่านต้องออกศึกอีกครั้งหนึ่ง ให้กำลังใจท่านและจะพยายามทำทุกวิถีทางทั้งการขอร้องรัฐบาลและขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ทั้งตัวเราเอง อะไรที่จะช่วยสนับสนุนท่านได้ อะไรที่จะช่วยให้ท่านมีกำลังใจ เราจะช่วยทำทุกวิถีทาง"
คำกล่าวให้กำลังใจจากผู้ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในภาวะวิกฤตโรคระบาด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้กำลังใจ เริ่มต้นก่อนการเปิดบทสนทนากับทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เสนอเป็นข้อเรียกร้องผ่านสื่อไปยังรัฐบาล ให้ใช้งบประมาณกลางในการสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาล แม้จะมีการตัดมาให้ 1,500 ล้านบาทจากงบประมาณกลางทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่เพียงพอ
อีกทั้งยังขอให้เพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัยคนที่ทำงานเป็น 2 เท่า ตั้งแต่ทีมแพทย์ไปจนไปถึง อสม. อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นนักรบหน้าด่าน ด้วยการจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นชุด PPE, หน้ากาก, น้ำยาฆ่าเชื้อ , เวชภัณฑ์และยา ไม่ใช่ต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมตัวเองหรือต้องดัดแปลงสารพัดอุปกรณ์มาช่วยสร้างการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรคจากคนไข้เช่นทุกวันนี้ เนื่องจากมีรายงานว่าแพทย์ติดโรคแล้วหลายคน ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้อีก มันจะเหมือนกับว่ากองทัพส่งทหารไปรบ แต่ให้เดินตัวเปล่าไปรบกับรถถัง สุดท้ายก็ตายลูกเดียว
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ Endgame ที่จะบอกว่ามี พ.ร.ก. แล้วจบ แต่ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มันคือเครื่องมือการบริหารของรัฐบาล ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ดังนั้นรัฐบาลก็จะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง แล้วก็มีการตัดสินใจที่ดี ออกมาตรการที่แม่นยำ และเป็นมาตรการที่จะสามารถดักปัญหาก่อนที่จะลุกลาม ไม่ใช่ตามปัญหา แม้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จะให้อำนาจเต็มที่กับรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะส่งผลกระทบ ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวจนเกินไป จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้ังเศรษฐกิจและสุขภาพจิตของประชาชน
"เหมือนกับเราป่วย เราไม่ใช้ยารักษา เราตัดสินใจผ่าตัด แปลว่าเราไม่ต้องการให้โรคเรื้อรัง ตัดออกไปเลย ก็ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องสยบโรคได้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าใช้ พ.ร.ก.แล้วยังอมโรคเลื่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผลเสียหายจะมี จะมีต่อ หนึ่ง ควบคุมโรคไม่ได้ไม่พอจะไปเพิ่มความเครียดความกังวลของคนและที่สำคัญ มันจะซ้ำเติมเศรษฐกิจอย่างมาก"
อีกทั้ง การห้ามการเดินทาง การที่ร้านค้ายังต้องปิดอยู่ การที่ยังกลับมาใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ เรื่องเหล่านี้มันทำลายทั้งเรื่องของสุขภาพจิต ทำลายทั้งเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะขออำนาจจากประชาชนในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องทำให้โรคสยบให้เร็วทีสุด นี่คือหัวใจใหญ่สำคัญ
ทั้งนี้คุณหญิงสุดารัตน์ เสนอมาตรการ หลักจากใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ได้แก่
"เรายังไม่ได้รบกับใคร วันนี้เรารบกับเชื้อโรคตัวเล็กๆ แล้วคนที่ไปรบคือหมอไม่ใช่ทหาร"
"เพราะตัดสินใจผ่าตัด ผ่าตัดเจ็บไหม เจ็บเพื่อให้หายเร็ว ไม่ใช่ผ่าตัดแล้วเจ็บไม่พอยังระบมไปเรื่อยๆ ไม่หายสักที นานเข้าๆ ตายกันหมดนะคะ ไม่ทราบว่าจะเป็นโควิดตาย หรืออาจจะอดตายก่อน" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำ
คุณหญิงสุดารัตน์ ชี้แจงว่า ภาคส่วนที่สำคัญประกอบด้วย 3 ส่วน คือ รัฐบาล, ผู้ปฏิบัติงาน, และประชาชน ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปให้ได้
อันดับแรก ประชาชนจะต้องให้ความร่วมมือ รักตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดีให้แข็งแรง ดูแลตัวเองอย่าให้ติดโรคและดูแลตัวเองอย่าให้เป็นผู้เผยแพร่โรค อยากให้ทุกคนคิดว่าทุกคนติดโรคแล้ว จะใช้ของร่วมกับใคร จะไปทำอะไร จะไปเปิดประตู จะไปขึ้นรถ ลงเรือที่ไหน ต้องระวัง เหมือนกับเราติดโรคแล้วอย่าไปแพร่โรคให้เขา ขณะเดียวกันก็ระวังอย่าให้โรคเข้ามาสู่เรา โดยใช้วิธี Social Distancing, ใส่หน้ากาก, และหมั่นล้างมือ ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ถ้าประชาชนขาดขวัญกำลังใจ ก็จะอ่อนแอ สู้กับโรคนี้ไม่ได้ ต้องร่วมแรงร่วมใจแล้วก็ทำตามคำแนะนำของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ถ้าไม่จำเป็นก็ควรอยู่ที่บ้าน ถ้าจำเป็นจะไปก็ต้องระวังตัวให้ดีที่สุด และถ้าต้องกลับจากกรุงเทพฯ ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดจริงๆ เพราะว่าไม่มีรายได้ ก็ต้องกักตัวเอง อย่างจริงจัง อย่างเคร่งครัด และต้องรักษาตัวเองอย่าให้ติดโรคเพื่อหมอจะได้ไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป
ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ย้ำว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยไม่เคยคิดว่าต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอีกต่อไปแล้ว พรรคเอาใจช่วยให้รัฐบาลได้ออกมาตรการที่ถูกทิศถูกทาง มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสักที เพื่อที่จะให้ประชาชนปลอดภัย เพื่อที่จะให้สยบโรคได้โดยเร็ว เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจมันฟื้น ส.ส. ของพรรคทุกคนลงพื้นที่ให้คำแนะนำประชาชน ไปหาค้นหาดูคนป่วยและส่งไปโรงพยาบาล ผลิตสื่อออนไลน์เพื่อให้คำแนะนำ
นอกจากนั้นศูนย์โควิดของพรรคเพื่อไทยยังได้มีการประสานงานกับหลายๆ ประเทศทั้งเอกชนและภาครัฐ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ส่งข้อมูลทางการแพทย์และหน้ากากอนามัยมาช่วยเหลือไทย แสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ให้เขามาช่วยกัน, ส่งเสริมการผลิตหน้ากากผ้า, ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไปตามวัด ที่สาธารณะ เช่น ตลาด ป้ายรถเมล์ ท่าเรือ ท่ารถ อีกทั้งยังเป็นกระบอกเสียงในการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและประชาสัมพันธ์มาตรการของรัฐ
"เราช่วยรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ในกำลังที่เราพอจะทำได้ ทั้งหมดนี้เราเอาใจช่วยรัฐบาลเพราะเราอยากให้ประชาชนปลอดภัย การจัดการในภาวะวิกฤตที่เราได้นำมาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกัน เราอยากให้รัฐบาลฟัง มาตรการที่เราได้นำเสนอทุกมาตรการ เราล้วนแต่มีเจตนาบริสุทธิ์เจตนาดี ที่เราอยากให้รัฐบาลนำไปช่วยประชาชน ถ้าช่วยประชาชนได้ ประชาชนไม่ได้สรรเสริญฝ่ายค้านนะคะ ประชาชนจะสรรเสริญรัฐบาล"