จากแผนจัดสรรที่ดูผิดแผกจากการบริหารความเสี่ยงในยามฉุกเฉิน - เมื่อรัฐบาลเลือกแทงม้าตัวเดียวสั่งแอสตร้าเซนเนก้า ที่กว่าจะเริ่มผลิตได้จริงก็เดือน มิ.ย.2564 และต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี 2563 - จนถึงปัจจุบันที่หลายโรงพยาบาลทยอยเลื่อนนัดฉีดวัคซีนของผู้ลงทะเบียนกันเป็นแถว
ความหวังของคนไทยที่ยังมีกำลังทรัพย์จำนวนมากมาตกกับฝั่งเอกชนผู้(เพิ่ง)ได้รับอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนทางเลือกเสียที หลังร้องขอกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ 'วอยซ์' เคยชวนผู้อ่านไปดูวิธีการแจกจ่ายวัคซีนของประเทศต้นแบบหลายๆ แห่งมาแล้ว ว่าพวกเขาทำอย่างไรจึงกระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้จึงอยากนำเสนอข้อมูลชุดใหม่ว่าขณะนี้มีประเทศใดบ้างที่รัฐบาลเลือกเปิดตลาดวัคซีนโควิด-19 ให้กับภาคเอกชน
ตามข้อมูลจาก market research telecast ปัจจุบันมีรัฐบาลของ 6 ประเทศ (ไม่รวมไทย) ที่อนุญาตให้เอกชนสามารถถือครองและบริหารวัคซีนได้ ประกอบไปด้วย อินโดนีเซีย, ปากีสถาน, ฮอนดูรัส, อินเดีย, โคลัมเบีย และเม็กซิโก
แม้ความตั้งใจหลักของประเทศเหล่านี้ คือให้เอกชนเข้ามาช่วยกระจายวัคซีนให้เร็วขึ้น แต่หลายฝ่ายพบว่า ในประเทศอย่างอินเดียและปากีสถาน เมื่อรัฐบริหารงานล่าช้า แต่เปิดให้ผู้มีกำลังทรัพย์ซื้อวัคซีนเองได้ ก็เลี่ยงประเด็นความเหลื่อมล้ำยาก
บางประเทศ รัฐพยายามเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่น กำหนดเพดานราคา กำหนดช่วงเวลา แต่บางประเทศก็ไม่มีมาตรการใดๆ
จากบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์กับสื่อท้องถิ่น ของ 'นีนิค กุน นาระยาตี' เอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ประจำประเทศอาร์เจนตินา พบว่า รัฐบาลของประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่หนึ่งของอาเซียนและอันดับที่สี่ของโลก ต้องการจัดฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมพลเมือง 70% ภายในเดือน มี.ค. 2565
ตัวเลขเป้าหมายที่มากกว่า 190 ล้านคน ทำให้รัฐบาลโจโก วีโดโด เปิดทางให้เอกชนสามารถถือครองและนำเข้าวัคซีนที่ไม่อยู่ในการจัดสรรของรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม ทูตนีนิค ย้ำว่า "(เอกชน)ไม่มีสิทธิขายวัคซีนนำเข้าเหล่านี้ให้กับสาธารณะ" หมายความว่า คนอินโดนีเซียไม่ต้องเสียเงินเพื่อซื้อวัคซีนอยู่ดี ไม่ว่าวัคซีนเหล่านั้นจะมาจากการสรรหาของรัฐบาลหรือเอกชนก็ตาม
รัฐบาลอินโดนีเซียทำสัญญาซื้อขายวัคซีนกับ 'ซิโนแวค' ไปทั้งสิ้น 68.5 ล้านโดส และอีก 1 ล้านโดสจาก 'ซิโนฟาร์ม' ทั้งยังมีสัญญาวัคซีนอีก 6.4 ล้านโดส กับแอสตร้าเซนเนก้าผ่านโครงการโคแวกซ์ (COVAX)
ขณะที่ประมาณการตัวเลขซื้อขายและราคาที่เอกชนต้องจ่ายสำหรับวัคซีนหนึ่งโดสของแต่ละแบรนด์ เป็นไปตามนี้:
เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่รัฐบาลอนุญาตเท่านั้น และต้องหลังจากที่รัฐบาลเสร็จสิ้นการแจกจ่ายวัคซีนให้กับกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงแล้วเท่านั้น
ตามการประมาณการจากรัฐบาลอินโดนีเซีย มีเอกชนมากกว่า 22,000 บริษัทลงทะเบียนในโครงการดังกล่าว ซึ่งจะครอบคลุมตัวเลขพนักงานและครอบครัวราว 7 ล้านคน
อินโดนีเซียที่เริ่มฉีดวัคซีนช่วงต้นปีที่ผ่านมา สามารถแจกจ่ายวัคซีนได้ราว 7% ของประชากรเท่านั้น เมื่อนับถึงวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น ผู้ได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดส 4.2% และผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม 3.1% เท่านั้น
ก่อนอินเดียจะขึ้นมาทำสถิติโลกด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันทะลุ 400,000 ราย รัฐบาลของนเรนทรา โมที บริจาควัคซีนโควิด-19 ให้กับ 95 ประเทศทั่วโลก ไปทั้งสิ้น 66 ล้านโดส ประเทศแห่งนี้ยังเป็นผู้ผลิตวัคซีนโปลิโอ, คอตีบ และอีกหลายโรคเป็นอันดับหนึ่งของโลก
เมื่อแผนปกติมีปัญหา รัฐบาลกลางออกมาบอกให้แต่ละรัฐสั่งซื้อวัคซีนเองจากผู้ผลิตท้องถิ่นหรือการนำเข้าจากผู้ผลิตต่างประเทศ แต่การลอยแพเช่นนี้ทิ้งภาระหนักให้แต่ละรัฐต้องไปแข่งกันเองอีกทีเพื่อชิงวัคซีนมาครอง
โมดี เปลี่ยนแผนอีกครั้งท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนัก โดยระบุว่าต่อจากนี้ จากวัคซีนที่ผลิตได้ 100% ราว 75% รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลแจกจ่ายให้แต่ละรัฐและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปโดยไม่คิดเงิน
วัคซีนอีก 25% ที่เหลือ รัฐบาลจะทำสัญญากับโรงพยาบาลเอกชน ประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง มีราคากำกับสูงสุดของวัคซีนแต่ละประเภทดังนี้
ขณะที่ค่าบริการทางการแพทย์ถูกตั้งไว้ที่ราคา 150 รูปีอินเดีย (ประมาณ 65 บาท) โดยค่าแรงขั้นต่ำของอินเดียอยู่ที่ประมาณ 176 รูปีอินเดีย/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 75 บาท เท่านั้น
รัฐบาลปากีสถานไม่ได้ดำเนินนโยบายเสรีวัคซีนที่ต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียมากนัก ทว่าจุดต่างสำคัญอยู่ที่ช่วงแรกของการเปิดเสรีนี้ กลับไม่มีการตั้งเกณฑ์ราคาจำหน่ายสูงสุดแต่อย่างใดออกมาปกป้องผู้บริโภคหรือประชาชนแม้แต่ข้อเดียว
ล็อตแรกของวัคซีนรัสเซียนำเข้าอย่าง 'สปุตนิก วี' ถูกจัดจำหน่ายให้กับประชาชนในราคาสูงถึง 12,000 รูปีปากีสถาน/ 2 โดส หรือคิดเป็นเงินราว 2,400 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานอยู่ที่ราว 15,000 รูปีปากีสถาน/เดือน หรือคิดเป็นเงินราว 3,000 บาทเท่านั้น
จากจุดยืนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประเทศเคยให้สัมภาษณ์ว่า "การแข่งขันจะเป็นเกณฑ์กำหนดราคาเอง" เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นและวัคซีนที่เอกชนนำเข้ามาไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ดี รัฐบาลปากีสถานจึงกลับลำ ยกเลิกคำสั่งไม่มีราคาเพดานสำหรับวัคซีนนำเข้าและตั้งราคาขายสูงสุดขึ้นมา
การยกเลิกประกาศครั้งนี้ทำให้เอกชนผู้นำวัคซีนเข้าไม่พอใจ 'AGP Pharma' ซึ่งสั่งซื้อวัคซีนสปุตนิก วี เข้ามาจำนวน 50,000 โดส ยื่นเรื่องดังกล่าวถึงศาลในประเทศ และได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้สามารถขายวัคซีนต่อได้ในราคาที่บริษัทเป็นผู้กำหนดเอง ไม่ใช่ราคาเพดานใหม่ที่รัฐบาลเป็นผู้ตั้งขึ้น ขณะที่บริษัทผู้นำเข้ารายอื่นกำลังทยอยเข้าสู่กระบวนการเดียวกัน
หากย้อนกลับไปตั้งต้นกันตั้งแต่ มี.ค.2563 อาจกล่าวได้ว่า ปากีสถานเจอการระบาดใหญ่ที่ส่งผลกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน 2 รอบ คือช่วง มิ.ย.2563 กับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันแตะจุดสูงสุดราว 6,500 คน และอีกครั้งในช่วงเดือน เม.ย.2564 กับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันประมาณ 5,000 คน
ตามข้อมูล ณ วันที่ 13 มิ.ย.2564 สัดส่วนการฉีดวัคซีนให้ประชากรอย่างน้อยหนึ่งโดสอยู่ในระดับ 3.7% เท่านั้น โดยความรวดเร็วเพิ่งจะมาปรับตัวดีขึ้นหลังเข้าสู่การระบาดรอบสองของประเทศแล้วเท่านั้น
ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง (ลาตินอเมริกา) ที่มีประชากรราว 10 ล้านคนอย่างฮอนดูรัสประสบปัญหาอย่างหนักในการแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชน ไม่เพียงการเริ่มต้นที่ล่าช้าจนกว่าจะได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกก็เลยไปถึงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันมีคนฮอนดูรัสได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสเพียง 4% เท่านั้น
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ความไร้ศักยภาพของรัฐบาลนำไปสู่การลงนามความตกลงระหว่าง สภาบริษัทเอกชนแห่งฮอนดูรัส หรือ 'Cohep' กับภาครัฐ เพื่ออนุญาตให้บริษัทเอกชนสามารถติดต่อนำเข้ามาวัคซีนมาฉีดกับให้พนักงานของตนเองได้ ภายใต้โครงการที่ชื่อ 'ฮอนดูแวค' (Honduvac)
'ฮวน คาร์ลอส ซิกาฟฟี' ประธานโคแฮปให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า "เราต้องขึ้นมาสวมบทบาทที่เลี่ยงไม่ได้นี้เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศ...เรารู้สึกว่า(รัฐบาล)ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะตอบสนองต่อปัญหาร้ายแรงครั้งนี้อย่างรวดเร็ว"
นอกจากจะขึ้นมาสวมบทนำจัดหาวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทเอกชนอย่างต่ำ 800 แห่งที่สนใจเข้าร่วมฮอนดูแวค ล่าสุด ซิกาฟฟี ยังตั้งเป้าจัดหาวัคซีนอีก 1.5 ล้านโดสให้กับรัฐบาลเพื่อนำไปบริหารจัดการต่อด้วย ทว่าหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลอย่างหนักว่าเงื่อนไขที่เอกชนจะซื้อวัคซีนให้รัฐบาลเป็นอย่างไร จะสุ่มเสี่ยงต่อการทิ้งกลุ่มเปราะบางไว้ข้างหลังหรือไม่
เนื่องจากไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่โดยรวมแล้วรัฐบาลตั้งใจจะแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทว่าติดตรงที่ไม่สามารถนำเข้าวัคซีนได้ ขณะที่ฝั่งเอกชนผู้นำเข้าวัคซีนย้ำว่าเป้าหมายคือการนำเข้ามาเพื่อช่วยเหลือพนักงานและครอบครัว ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย ส่วนวัคซีนที่เอกชนจะจัดหามาให้รัฐบาลนั้นไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติม
สำหรับสองประเทศที่มีรูปแบบการบริหารจัดการประเด็นภาคเอกชนกับวัคซีนโควิด-19 คล้ายคลึงกันนั้น พบว่า แม้รัฐบาลของทั้งสองชาติจะอนุญาตให้เอกชนและรัฐบาลท้องถิ่นสามารถสั่งซื้อวัคซีนโดยตรงจากผู้ผลิตได้ แต่นับจนถึงปัจจุบันยังไม่มีเอกชนรายใดลงนามสั่งซื้อวัคซีนแม้แต่เจ้าเดียว
สำหรับเม็กซิโก ปัจจุบันมีการแจกจ่ายแค่เพียงวัคซีนจากไฟเซอร์เท่านั้น ทว่าประเด็นที่น่าสนใจคือช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา บุลคลากรทางการแพทย์ที่สังกัดอยู่กับโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมากออกมาประท้วงรัฐบาลที่ทอดทิ้งพวกเขาจากการเข้าถึงวัคซีน ทั้งที่ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง ขณะที่รัฐบาลออกมาโต้กลับว่า วัคซีนต้องให้กับประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปก่อน
สำหรับโคลัมเบีย ภาคเอกชนจะสามารถแจกจ่ายวัคซีนนำเข้าได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลดำเนินแผนวัคซีนแห่งชาติเข้าสู่ขั้นที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันนี้รัฐบาลโคลัมเบียเลือกกระจายวัคซีนตามระดับระอายุเป็นหลัก โดยขึ้นแรกได้จัดฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรสาธารณสุขและประชาชนที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปแล้ว ขณะที่ขึ้นปัจจุบันคือการฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป และขั้นที่สามจะเป็นประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ข้อมูลข้างต้นเป็นการพูดถึงดีลวัคซีนในภาคเอกชนของแต่ละประเทศและสถานการณ์ภาพรวม ทว่าหากลองมาวิเคราะห์ดูถึงสาเหตุที่ทำให้ภาระงานดังกล่าวตกไปอยู่กับเอกชนของประเทศเหล่านั้น รวมถึงไทยด้วย พบจุดร่วมกัน 2 กรณี คือ ไม่ใช่ประเทศรายได้สูงและมีปัญหาการบริหารจัดการวัคซีน
ตามข้อมูลจากธนาคารโลกในปี 2562 ทุกประเทศข้างต้นล้วนจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางเท่านั้น จะแตกต่างกันก็เพียงระดับย่อยที่บางประเทศอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับต่ำขณะที่บางประเทศอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับสูง แต่ไม่มีประเทศใดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง
ตามการจำแนกของธนาคารโลกด้วยข้อมูลเก่า (ถึงวันที่ 1 ก.ค.2563) ประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวในระดับ 1,026-3,995 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี ประมาณ 32,000-124,000 บาท/ปี จัดอยู่ในประเทศรายได้ปานกลางระดับต่ำ
ขณะที่ขั้นของการเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงอยู่ที่ 3,996-12,375 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี หรือประมาณ 124,000-385,000 บาท/ปี (ปัจจุบันธนาคารโลกมีการปรับเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว)
ส่วนประเทศที่จะนับเป็นขั้นประเทศรายได้สูง ประชากรต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวตั้งแต่ 12,375 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี หรือ 385,000 บาท/ปี ขึ้นไป
กราฟจากธนาคารโลก(ด้านบน)วางตำแหน่งให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อเทียบกันทั้ง 7 ประเทศ ตามข้อมูลในปี 2562 ปากีสถานเป็นชาติที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำที่สุด ตัวเลขประมาณ 1,410 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี (ประมาณ 44,000 บาท) เท่านั้น ตามมาด้วยอินเดียในอันดับรองสุดท้าย ที่ตัวเลข 2,120 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 66,000 บาท)
ชาวเม็กซิโกมีรายได้สูงที่สุดด้วยตัวเลขเฉลี่ย 9,480 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 295,000 บาท) โดยมีไทยตามมาเป็นอันดับที่สองของประเทศที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยสูงสุดในกลุ่มนี้ ที่ตัวเลขประมาณ 7,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี (ประมาณ 225,000 บาท) ก่อนจะไล่มาที่โคลัมเบีย, อินโดนีเซีย และฮอนดูรัส ตามลำดับ
อีกหนึ่งจุดร่วมสำคัญของทั้ง 7 ประเทศคือการบริหารจัดการวัคซีนที่มีปัญหา สำหรับไทย เหมือนทุกอย่างผิดตั้งแต่ติดกระดุมเม็ดแรก ล็อคเป้าซื้อวัคซีนแบรนด์เดียว ไม่มีแผนสำรองสำหรับการระบาดระลอกใหม่ และดีลวัคซีนเอกชนรัฐบาลที่คลุมเครือ
เมื่อลองดูกราฟแสดงอัตราการฉีดวัคซีนให้ประชากรอย่างน้อยหนึ่งโดสของทั้ง 7 ประเทศ (ด้านล่าง) เทียบกับระดับค่าเฉลี่ยโลก, ค่าเฉลี่ยของประเทศในสหภาพยุโรป, ค่าเฉลี่ยของสหรัฐอเมริกา และค่าเฉลี่ยของสหราชอาณาจักร ซึ่งล้วนเป็นประเทศรายได้สูงทั้งหมดนั้น จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
นับจนถึง 13 มิ.ย.2564 ค่าเฉลี่ยที่ประชากรโลกได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสต่อประชากรทั้งหมดอยู่ที่ 20.65% ขณะที่จาก 7 ประเทศของการเปรียบเทียบครั้งนี้ มีโคลัมเบียทำได้สูงสุดที่ 20%
ทว่าเมื่อมองขึ้นไปยังระดับการแจกจ่ายวัคซีนของประเทศพัฒนาแล้ว สหภาพยุโรปอยู่ที่ 44% สหรัฐฯ รั้งอันดับที่สองด้วยระดับ 51% และสหราชอาณาจักรครองอันดับหนึ่งที่สัดส่วนกว่า 60%
ในจักรวาลคู่ขนาน ประเทศอย่างอินโดนีเซีย, ไทย, ฮอนดูรัส และปากีสถาน ยังไม่อาจแจกจ่ายวัคซีนได้ถึงระดับเลขสองหลักของเปอร์เซนต์ประชากรด้วยซ้ำ
ทั้ง 7 ประเทศที่เปิดทางให้เอกชนเข้ามาแก้ปัญหาความล่าช้าของวัคซีนนั้น ล้วนหวังเหมือนๆ กันว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะถูกต้องและเป็นผลดีกับประชาชนมากที่สุด แต่ความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่เป็นหน้าที่ที่ประชาชนของแต่ละชาติต้องร่วมกันหาคำตอบ ผ่านทั้งการตรวจสอบและตั้งคำถาม
อ้างอิง; The Economist, Reuters, Devex, CNN, Indian Express, NYT, AP, France24, Larazon
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;