นายไมเคิล เดวิด แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปี 2561 เจ็ทส์มีการเติบโตย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนทั้งหมด 22 สาขา แบ่งเป็น 17 สาขาในกรุงเทพมหานคร 2 สาขาในนนทบุรี 2 สาขาในพัทยา และอีก 1 สาขาในโคราช และมีส่วนแบ่งตลาดของฟิตเนส 24 ชั่วโมงถึงร้อยละ 60
ไมเคิล ชี้ว่าปัจจัยสนับสนุนอัตราการเติบโตส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์เรื่องที่ตั้งที่เข้าถึงง่ายใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที นอกจากนี้ก็ยังเลือกตำแหน่งที่เป็นแหล่งชุมชน เช่นสถานที่ทำงาน สถานศึกษา หรือแหล่งที่พักอาศัย อีกทั้ง งานศึกษายังชี้ว่า พฤติกรรมของผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่มาใช้บริการกว่าร้อยละ 70 และคิดเป็นการมาใช้งาน 2-6 ครั้ง/สัปดาห์ สะท้อนว่าผู้บริโภคในเมืองใหญ่มีพฤติกรรมการชื่นชอบการมาฟิตเนสที่เข้าถึงได้สะดวก
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจภาพรวมชะลอตัวก็ไม่มีผลกับอุตสาหกรรมฟิตเนสมากเช่นเดียวกัน ไมเคิลอธิบายว่า จากการสำรวจพบว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัวการยกเลิกสมาชิกฟิตเนสไม่ได้น้อยลง เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้มองการมาออกกำลังกายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยที่ต้องตัดออกเมื่อรายได้ลดลง
อีกทั้งไมเคิล ระบุว่า เจ็ทส์ เข้ามาในไทยด้วยรูปแบบธุรกิจที่รู้จักนิสัยคนไทยเชิงลึกด้วยการไม่บังคับให้ต้องเป็นสมาชิกระยะยาว และคิดค่าบริการในระดับราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งที่อยู่มานาน โดยเลือกจับตลาดลูกค้าที่จ่ายได้ประมาณในหลักพันบาท ส่วนปัจจัยสนับสนุนอย่างการเข้าสู่สังคมสูงวัยก็ยังไม่ได้ส่งผลต่อจำนวนผู้ใช้บริการขนาดนั้น เพราะสัดส่วนผู้ใช้บริการที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นยังมีแค่ร้อยละ 5 เท่านั้น
ด้านแผนการขยายสาขาในอนาคต ไมเคิล กล่าวว่าเจ็ทส์ต้องการขยายสาขา 12 แห่ง ในปี 2563 และจะขยายไปตามจังหวัดหัวเมืองต่างไป อาทิ เชียงใหม่ และภูเก็ตด้วย ส่วนเป้าหมายระยะยาวของเจ็ทส์ จะเปิดสาขาให้ได้ครบ 100 แห่งภายในระยะเวลา 5 ปี