วันนี้ (25 กรกฎาคม 2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยได้พบกับนายอาร์มัน อิสเซตอฟ (Mr. Arman Issetov) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาลเพื่อหารือแนวทางการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าของกระทรวงพาณิชย์ เช่น งานแสดงสินค้า และการเจรจาธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย-คาซัคสถาน และการเริ่มการเจรจา FTA ไทย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU) ที่คาซัคสถานเป็นสมาชิกร่วมกับ รัสเซีย เบลารุส อาร์เมเนีย และคีร์กิซสถาน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีประชากรกว่า 185 ล้านคน
“ผมได้ขอให้คาซัคสถานพิจารณานำเข้าสินค้าเกษตร และอาหารที่มีคุณภาพสูงของไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม ที่มีการเติบโตสูงขึ้นมากในปีนี้ โดยมูลค่าการส่งออกอาหารเลี้ยงสัตว์ใน 5 เดือนแรกเติบโตกว่าร้อยละ 31.39 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ไทยและคาซัคสถานยังสามารถใช้เรื่องการท่องเที่ยว และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ เป็น soft power ในการพัฒนาความร่วมมือและขยายการค้าระหว่างกันได้อีกด้วย” ภูมิธรรมกล่าว
ภูมิธรรมระบุ คาซัคสถานเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียกลาง มีความก้าวหน้าด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ สามารถเป็นประตูในการขยายการค้าและการลงทุนของไทยในภูมิภาคดังกล่าว จึงเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพของไทย ซึ่งตนมีกำหนดการเยือนคาซัคสถานในช่วงระหว่างวันที่ 13 – 18 สิงหาคม 2567 เพื่อลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย-คาซัคสถาน รวมทั้งพบปะนักธุรกิจและเยี่ยมศูนย์กลางขนส่งและกระจายสินค้าของคาซัคสถานด้วย
ในปี 2566 การค้าระหว่างไทย – คาซัคสถาน มีมูลค่า 171.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.03 ของการค้าไทยในตลาดโลก โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปคาซัคสถาน 76.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ ขณะที่ไทยนำเข้าจากคาซัคสถาน 95.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ทั้งนี้ คาซัคสถานมีการลงทุนโดยตรงในไทยกว่า 26.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ