ไม่พบผลการค้นหา
ครม.มีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎหมายสำหรับมาตรการด้านภาษี สนับสนุนเอกชนอุดหนุนโครงการป่าชุมชนลดโลกร้อน เปิดทางเอกชนหักเป็นค่าใช้จ่ายตามจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ ส่วนบุคคลธรรมดาและเอกชนบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ลดหย่อนได้ 2 เท่า

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 ม.ค. มีมติอนุมัติหลักการในเรื่องมาตรการภาษี 2 เรื่องที่กระทรวงการคลังนำเสนอ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) และ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) ซึ่งหลังจากนี้ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน

"ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการ ของมาตรการลดหย่อนภาษี เพื่อให้เอกชนเข้ามาสนับสนุนโครงการป่าชุมชนลดโลกร้อน และโครงการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา"

โดยหลักการของมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน คือกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการฯ สามารถนำเงินบริจาคมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ โดยให้มีผลสำหรับการบริจาตตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2561 - 31 ธ.ค. 2565

สำหรับเอกชนที่บริจาค 1) ต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงนามในบันทึกความร่วมมือโครงการ "ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน" และดำเนินการตามแนวทางของโครงการ 2) ต้องสนับสนุนโครงการเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าหมู่บ้านละ 100,000 บาท โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถให้การสนับสนุนได้มากกว่า 1 หมู่บ้าน และ 3) ผู้บริจาคจะต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงินจากกรมป่าไม้ โดยระบุว่า "เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการ "ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน" ชื่อป่าชุมชนที่ให้การสนับสนุนและปีที่ดำเนินการ" ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกความร่วมมือโครงการที่ได้ร่วมกันลงนามไว้แล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังประมาณการการสูญเสียรายได้ จากการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน ซึ่งรัฐมีแผนการใช้งบประมาณจปีละ 90 ล้านบาท ส่วนการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยให้ภาคเอกชนลงทุนดำเนินการปลูกป่าโดยการบริจาคมีผลทำให้จัดเก็บภาษีลดลงประมาณปีละ 18 ล้านบาท ขณะที่จะช่วยทดแทนและประหยัดเงินงบประมาณของภาครัฐที่ต้องดำเนินการปีละ 72 ล้านบาท ซึ่งการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวจะมีส่วนช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในการสนับสนุนเงินอุดหนุนการบริหารจัดการดังกล่าว จึงไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ  

"โครงการป่าชุมชนลดโลกร้อน เอกชนสามารถยื่นลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ กระทรวงการคลังคาดว่าจะเรียกเก็บภาษีได้ลดลงปีละ 18 ล้านบาท แต่จะลดรายจ่ายภาครัฐได้ 72 ล้านบาท" นายณัฐพร กล่าว

บริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

ส่วนมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

โดยมีรายละเอียดคือ

กรณีบุคคลธรรมดา ให้หักลดหย่อนได้เป็นจำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ  

กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชน ที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไปโดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร 

มาตรการนี้ สำหรับการบริจาคที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 14 พ.ค. 2561-31 ธ.ค. 2563

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า มาตรการภาษีนี้จะมีผลทำให้การจัดเก็บภาษีลดลงตลอดระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีประมาณ 45 ล้านบาท โดยจะเป็นการช่วยทดแทนเงินสนับสนุนให้แก่เด็กและเยาวชน ครูอาจารย์และโรงเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในการสนับสนุนเงินเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา จึงไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ 

"การขอลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้ 2 เท่าของเงินบริจาค กระทรวงการคลังคาดว่าจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง 45 ล้านบาท แต่ถือว่าความคุ้มค่า" นายณัฐพร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :