ไม่พบผลการค้นหา
นักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนร่วมลงนามประกาศภาวะฉุกเฉินเรื่องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง-โลกร้อน พร้อมระบุ แผนการรับมือของประเทศส่วนใหญ่ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ปัญหาได้อย่างเพียงพอ

แถลงการณ์ของนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนจาก 153 ประเทศทั่วโลกที่ตีพิมพ์ในวารสาร BioScience ระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ภูมิอากาศที่ไม่สามารถประเมินได้จากวิถีการบริโภคของมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้และมันกำลังคุกคามทำลายระบบนิเวศและมนุษย์

"เราประกาศอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะฉุกเฉินของการเปลี่ยนสภาพอากาศ...เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนเราต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในของวิถีชีวิตในสังคมและเป็นการตอบโต้ของระบบระบบนิเวศวิทยาธรรมชาติ'"

วิกฤตการณ์ฉุกเฉินที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันนั้นยังรวมไปถึงอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ทรัพยากรพลังงานเชื้อเพลิงที่กำลังลดลงจากการใช้ของมนุษย์ การทำลายป่าไม้ และการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์

นอกจากนี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวว่า กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์นั้นต่างส่งผลให้ระดับน้ำและอุณภูมิของพื้นดินเพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงการเกิดพายุหรือเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น

'"แม้ว่าจะมีการเจรจาและพูดคุยเรื่องสภาพภูมิอากาศของโลกมาเป้นระยะเวลานานกว่า 450 ปี ด้วยข้อยกเว้นบางประการ แต่พวกเรายังคงดำเนินธุรกิจต่างๆ ตามปกติและล้มเหลวในเรื่องการจัดการต่างๆ'" กลุ่มนักวิทยาศาสตร์กล่าว

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยังเสนอสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนประการ 5 ประการ คือ

  • ใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและดำเนินมาตรการเก็บภาษีคาร์บอนอย่างจริงจังในการลดการใช้เชื้อเพลิง
  • คงจำนวนประชากรโลกไม่ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเกิดมากกว่า 200,000 คนต่อวัน
  • หยุดการทำลายธรรมชาติและเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  • รับประทานพืชมากขึ้นและลดการบริโภคเนื้อสัตว์รวมไปถึงการลดปริมาณขยะจากอาหารด้วย
  • เสนอปรับดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจโดยไม่ยึดจาก GDP เพราะยิ่งส่งเสริมการบริโภคของมนุษย์มากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ เมื่อปี 2016 นักวิทยาศาสตร์กว่า 16,000 คนจาก184 ประเทศได้เคยร่วมลงนามเตือนถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีวิถีที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของโลกมาก่อนแล้ว

ที่มา The guardian / CNN