คณะกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร นำโดย ศราวุธ เพชรพนมพร ประธานกรรมาธิการฯ, จักรพล ตั้งสุทธิธรรม โฆษกกรรมาธิการฯและประธานอนุกรรมาธิการ, จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ กรรมาธิการ, กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ รองประธานอนุกรรมาธิการ, พงษ์ศักดิ์ พิบูลย์ศักดิ์ อนุกรรมาธิการ, วิโรจน์ พิพัฒน์ไชยศิริ, ชญาภา สินธุไพร ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ และวิสาระดี เตชะธีรวัฒน์
ลงพื้นที่ จ. หนองคายเพื่อศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ของไทยกรณีการเปิดให้บริการของรถไฟจีน-ลาว พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมด้วยภาคเอกชน โดยจากการศึกษาเบื้องต้น คณะฯเห็นว่ารัฐสามารถเตรียมความพร้อมประเทศได้มากกว่านี้
ทั้งนี้ ศราวุธ เพชรพนมพร ได้กล่าวว่า โจทย์ของคณะกรรมาธิการ คือการมารับฟังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อนำผลการศึกษาเสนอต่อ ครม. ให้ไปปรับปรุงมาตรการรองรับอย่างเท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าจีนลาวได้สร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของไทยเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย จากเดิมที่คาดว่าน่าจะสร้างเสร็จในปี 2571 ดูจะล่าช้ากว่ากำหนด และยังไม่ได้มีการเตรียมการใดๆที่รองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากรถไฟฟ้าจีนลาวเลย จึงเป็นห่วงว่าประเทศและผู้ประกอบการไทยจะเสีย “เวลา” ซึ่งเป็นต้นทุนทางโอกาสที่สำคัญ
ด้าน จักรพล กล่าวว่า จากการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะนี้สินค้าไทยที่ส่งออกไปจีน กำลังถูกกีดกัน ด้วยมาตรการ “ซีโร่โควิด” ของรัฐบาลจีน โดยจีนได้สร้าง “ด่านโม่หาน” เป็นด่านตรวจโควิดด่านแรกเพื่อตรวจสินค้าที่จะเข้าประเทศ หากรัฐบาลไทยจะเจรจาขอความร่วมมือจากทางจีนในการให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจสินค้าแก่ผู้ประกอบไทย รวมถึงอาจจัดตั้งศูนย์ตรวจพร้อมส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสินค้าในประเทศไทย นำกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศมาใช้ สร้างระเบียงเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง
ก็จะสามารถลดความเสียหายให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกที่สินค้าถูกตีกลับเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาความตกลงว่าด้วยพิธีสาร 13 กันยายน 2564 กับจีนได้มีการลงนามตกลงแล้ว แต่การส่งออกไม่สามารถเริ่มได้เพราะมาตรการโควิดของจีนที่เคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างผลไม้ไทยมูลค่าสูงที่เป็นที่นิยมและต้องการของตลาดจีนมาก ทั้งนี้ทางคณะฯจะนำทุกข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากทุกภาคส่วน ไปหารือและหาทางออกเพื่อที่จะชดเชยโอกาสที่เสียไปของโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาวอีสานและประเทศไทย
ด้าน จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า อันที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงใช้ ตั้งแต่ปี 2563 ตามโครงการสร้างอนาคตไทย 2020 ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่สุดท้ายต้องหยุดชะงักไปทำให้เสียโอกาสเป็นอย่างมาก ในทางปฏิบัติคณะฯ ได้ติดตามดูความคืบหน้าจริงของรถไฟฟ้าจีน-ลาวแล้วใน 4 เดือนที่ผ่านมามีผู้โดยสารกว่า 1,800,000 คน สินค้าขนส่งไปแล้ว 1.2 ล้านตัน นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยสูญเสียไปในช่วงที่ผ่านมา
การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอแนวทางในการดึงโอกาสกลับมาให้ประเทศไทยอย่างไรให้เร็วที่สุด เพราะไทยกำลังถูกจีนเจาะตลาดผ่านทางเส้นทางคมนาคมเส้นใหม่นี้ โดยสินค้าที่นำเข้ามาในไทยเป็นอันดับหนึ่ง กลับเป็นพืชผักผลไม้ที่เข้ามาตีตลาดไทยโดยเฉพาะ อาจเป็นตัวเลขที่น่าตระหนก แต่หากเรามองวิกฤตให้เป็นโอกาส รัฐต้องเร่งเจรจานำสินค้าไทยกลับเข้าไปสู่ตลาดจีน เพราะรถไฟที่ขนสินค้ามาจากจีน คงไม่ความประสงค์ที่จะตีกลับเป็นรถไฟเปล่าอย่างแน่นอน
นอกจากนั้น กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า ในช่วงปี 2556 ได้เคยมีการสำรวจเส้นทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย และ ระบบรางระหว่างไทย-ลาว-จีน และ ไทย-จีน-เวียดนาม เพื่อประสานความ ร่วมมือให้เกิดความเชื่อมโยงในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้ จ.หนองคาย เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รองรับการเชื่อมโยงรถไฟทางคู่กับต่างประเทศ หนองคายควรจะเป็น “ประตูมังกร”
เชื่อมไทยไปสู่ตลาดโลกสร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรและธุรกิจ SME และเป็นจุดเริ่มต้นในการเชื่อมเส้นทาง ไทย-ลาว-จีน แต่วันนี้ด้วยความไม่พร้อม และความไม่เข้าใจ ทำให้หลายๆอย่าง ล่าช้าไปหมด เรากำลังสูญเสียโอกาสมหาศาล กลับกัน หากวันนี้รัฐเริ่มสร้างสถานีรถไฟจากหนองคาย ย้อนกลับขึ้นไปกรุงเทพฯ น่าจะสามารถปรับให้ทันต่อผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้น ณ เมืองหน้าด่านในขณะนี้ได้