ไม่พบผลการค้นหา
'เป็ปซี่' ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกเครื่องดื่ม 3 ขนาด มีผล 1 ก.ค. ที่ผ่านมา แจงแบกรับต้นทุนมานาน ขอขึ้นตามภาวะตลาด ส่วนการปรับภาษีสรรพสามิตตามระดับความหวานเป็นปัจจัยบางส่วน ฟาก 'อธิบดีสรรพสามิต' แจงภาษีความหวานมุ่งดูแลสุขภาพและเตรียมการสำหรับค่าใช้จ่ายสาธารณสุขในอนาคต

ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ซันโทรี่ เป็ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การปรับขึ้นราคาขายปลีกของเครื่องดื่มแบรนด์ 'เป็ปซี่' 3 ขนาด ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นการปรับขึ้นตามกลยุทธ์การค้า โดยกำหนดราคาจากสภาวะตลาด กลไกตลาด ที่ต้องปรับขึ้น อีกทั้งเป็นการปรับเพียงบางรายการ คือ 3 ขนาดเท่านั้น ได้แก่ ขนาด 345 มิลลิลิตร 430 มิลลิลิตร และ 640 มิลลิลิตรเท่านั้น

"เราปรับขึ้นราคาบางรายการในแบรนด์เป็ปซี่เท่านั้น ไม่ได้ปรับทั้งหมด และเป็นการปรับที่ดูจากภาวะตลาด อีกทั้งเราไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกมานานแล้ว และที่ผ่านมาบริษัทก็แบกรับไว้ แต่เมื่อตลาดเป็นแบบนี้ เราจะตรึงราคาต่อไปก็คงไม่ใช่ จึงต้องปรับขึ้น ส่วนที่ทางการจะมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมตามความหวานในวันที่ 1 ต.ค. นี้ เป็นเหตุผลบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมดของปัจจัยที่ทำให้บริษัทปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำอัดลมในตอนนี้"

ทั้งนี้ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT ออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ ระบุว่า ได้มีการปรับราคาสินค้าซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้า โดยกลยุทธ์นี้จะรวมถึงการเปิดตัวสินค้าขนาดใหม่ และการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าให้เหมาะสมตามกลไกของตลาด โดยจะติดตามภาวะตลาดและพิจารณาปัจจัยต่างๆ ในการกำหนดราคาและขนาดของสินค้า 

โดยในการปรับราคาสินค้าครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าบางรายการเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวของบริษัท โดยบริษัทฯ ยังคงยึดมั่นและมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพ พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดไป 

สำหรับสินค้าที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกแนะนำมี 3 ขนาด ได้แก่ เครื่องดื่มเป๊ปซี่ ขนาด 345 มิลลิลิตร เป็นราคา 12 บาท ขนาด 430 มิลลิลิตร เป็นราคา 15 บาท และขนาด 640 มิลลิลิตร ราคา 15 บาทเป็นราคา 17 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2562 เป็นต้นไป

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มตามระดับความหวาน เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ที่ประกาศใช้ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2560 และกรณีเครื่องดื่มที่มีความหวาน มีการปรับขึ้นใน 3 ระยะ (ช่วงเวลา 2 ปีครั้ง) ซึ่งในวันที่ 1 ต.ค. นี้ จะเป็นการปรับระยะที่ 2 ที่จะทำให้เครื่องดื่มที่มีความหวาน เช่น น้ำอัดลมกระป๋องรสดั้งเดิม มีภาษีเพิ่มขึ้น 10-13 สตางค์ต่อหน่วย

"สำหรับผู้ผลิตเครื่องดื่มต่างๆ ต้องส่งโครงสร้างต้นทุนและราคาให้กรมก่อน เพื่อให้คำนวณอัตราภาษี ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายรายแล้วที่ส่งเข้ามา เพื่อรับการอัตราภาษีใหม่ที่จะเริ่มใช้ 1 ต.ค. นี้" นายพชร กล่าว

พร้อมกับระบุว่า โดยหลักการของกฎหมายคือต้องเก็บภาษีจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการรับประทานเครื่องดื่มที่มีความหวานมากๆ ย่อมเสี่ยงทำให้เกิดโรค และในฐานะที่กรมสรรพสามิตเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ที่ต้องเตรียมการเรื่องการรักษาพยาบาลในอนาคต การกำหนดอัตราภาษีตามระดับความหวานจึงเป็นการดำเนินการเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน

"ตอนนี้ผู้ประกอบการบางรายก็เริ่มปรับตัวรับกับอัตราภาษีความหวานที่จะเริ่มใช้ เช่น ลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ปรับสูตร ลดความหวาน เพื่อให้ไม่เข้ารายการที่เสียภาษีเพิ่ม ส่วนใครที่ยังไม่ลดน้ำตาล ไม่ลดระดับความหวาน เขาก็ต้องยอมรับอัตราภาษีใหม่ แต่รัฐย้ำว่าการทำเรื่องนี้เป็นการทำเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน รวมถึงการเตรียมการเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนในอนาคตด้วย" นายพชร กล่าว

ทั้งนี้ อัตราภาษีใหม่ตามระดับความหวานที่จะเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2562 ถึง 30 ก.ย. 2564 ได้แก่

  • เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อมิลลิลิตร เก็บเท่าเดิม แต่ถ้ามี 10-14 กรัม เก็บเพิ่มเป็น 1 บาท
  • ถ้าเกิน 14-18 กรัมต่อกรัม เสียภาษี 3 บาทต่อลิตร
  • มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 5 บาทต่อลิตร

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์เป็ปซี่แล้ว บริษัท โคคา-โคลา ประเทศไทย หรือ โค้ก ได้ปรับราคาขายปลีกเช่นกัน โดยโค้กขวดแก้ว ขนาด 185 มิลลิลิตร ปรับขึ้นจาก 5 บาท เป็น 7 บาท ขนาด 1 ลิตร ปรับขึ้นจาก 17 บาทเป็น 20 บาท  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :