ไม่พบผลการค้นหา
ประเพณีแต่งงานในครอบครัวของราชวงศ์ยุโรปเพื่อรักษาความบริสุทธิ์กลายเป็นตัวแปรสำคัญให้ประเทศตกอยู่ในยุคมืด เพราะมีผู้ปกครองอ่อนแอ-ไร้ความสามารถ

นิยามหนึ่งที่ 'นีล เดอกราสส์ ไทสัน' นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เคยพูดไว้เกี่ยวกับแง่ดีของวิทยาศาสตร์คือศาสตร์ดังกล่าวมีไว้เพื่อเผย 'ความจริง' ไม่ว่าคุณจะเชื่อในความจริงนั้นหรือไม่ 

วิจัยประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิ้นล่าสุดจาก 'เซบาสเตียน อ็อตติงเกอร์' และ 'นิโค ฟอกแลนเดอร์' เผยความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเรื่องเลือดบริสุทธิ์ในราชวงศ์ยุโรปชั้นสูงกับประสิทธิภาพการบริหารประเทศเพื่อสะท้อนว่าแท้จริงแล้ว มหาบุรุษอาจไม่ได้สร้างประวัติศาสตร์ แต่เป็นประวัติศาสตร์ (การสืบสายเลือด) มากกว่าที่สร้างมหาบุรุษ


2 กษัตริย์คาร์ลอสแห่งสเปน

ท่ามกลางข้อมูล 331 ราชวงศ์ยุโรป ระหว่าง ค.ศ. 990-1800 (ประมาณปี พ.ศ 1533-2343) ผู้วิจัยหยิบเรื่องราวของกษัตริย์คาร์ลอสแห่งสเปน 2 พระองค์ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเชิงประจักษ์

คาร์ลอสผู้แรก หรือ 'คาร์ลอสที่ 2 แห่งสเปน' ขึ้นครองราชย์ระหว่าง ค.ศ 1665-1700 พร้อมกิตติศัพท์แห่งความไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ อันที่จริงคือแทบไร้ซึ่งความสามารถในการดำรงชีวิตให้รอดแบบปกติสุขด้วยซ้ำ

คาร์ลอสที่ 2 เริ่มพูดตอนอายุ 4 ขวบ (ตามปกติเด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ประมาณ 2-3 เดือน และพัฒนาต่อจนพูดเป็นคำตั้งแต่ประมาณ 10 เดือน - 15 เดือน) และเริ่มเดินตอน 8 ขวบ ขณะที่พัฒนาการทั่วไปอยู่ที่ราว 1 ขวบ เขายังถูกบรรยายลักษณะว่า "พิการทางร่างกาย และมีสติปัญญาไม่สมบูรณ์"

หากย้อนไปดูสายเลือดของคาร์ลอสผู้นี้ ยังไม่ต้องลงลึกกลับไปสู่บรรพบุรุษดั้งเดิมเพียงแค่มองสายสัมพันธ์ระหว่างบิดาหรือ 'ฟิลิปที่ 4 แห่งสเปน' และมารดาของเขาอย่าง 'มาเรียนาแห่งออสเตรีย' จะพบได้ว่าใกล้ชิดในระดับอา-หลานแล้ว เนื่องจากมารดาของมาเรียนาอย่าง 'มาเรีย แอนนาแห่งสเปน' เป็นน้องสาวของฟิลิปที่ 4

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อย้อนพงศาวลีของครอบครัวนี้ยังพบความเชื่อมโยงกันอีกหลายรุ่นจนทำให้ยีนในตัวบิดาและมารดาของคาร์ลอสที่ 2 แห่งสเปนเหมือนกันราวกับเป็น พี่-น้อง ไม่ใช่เพียง อา-หลาน 

ทั้งนี้ อาจต้องทำความเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ที่สะท้อนผลเสียของการสืบสัมพันธ์ในครอบครัวเพิ่งปรากฎชัดในช่วงศตวรรษที่ 20 เท่านั้น

เมื่อคาร์ลอสสิ้นพระชนม์ แผ่นดินถูกเปลี่ยนผู้ปกครองมาสู่ราชวงศ์บูร์บง โดยมีพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปนขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรง ก่อนสืบทอดต่อกันมาจนถึง คาร์ลอสองค์ที่ 2 ของเรื่องราวนี้ หรือ 'คาร์ลอสที่ 3 แห่งสเปน' ในสมัยของคาร์ลอสผู้นี้ แผ่นดินสเปนมีเศรษฐกิจเติบโตและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่า "อาจเป็นผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในยุโรปในยุคของเขา"

หากถามว่าแผ่นดินสเปนที่รุ่งเรืองผิดหูผิดตากับสมัยคาร์ลอสผู้แรกเกี่ยวโยงกับพันธุกรรมหรือไม่ ผลลัพธ์พบว่า บิดาและมารดาของคาร์ลอสที่ 3 มีความสัมพันธ์ในฐานะญาติที่ห่างกันราว 3 รุ่น (3rd cousin) หรือคิดเป็นการมียีนเหมือนกันราว 12.5% หรือสรุปโดยง่ายว่า คาร์ลอสที่ 3 มียีนที่ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษเดียวกันน้อยกว่าคาร์ลอสที่ 2 มาก

ในทางวิทยาศาสตร์ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีความใกล้ชิดกันในระดับรุ่นที่ 1 (first cousins) มีความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติทางประสาทมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า อีกทั้งระดับสติปัญญายังลดลงถึง 10% เท่านั้นยังไม่พอ การมีสัมพันธ์ใกล้ชิดยังส่งผลให้ระดับความสูงและน้ำหนักของเด็กลดลงเช่นเดียวกัน กล่าวโดยรวมว่าส่งผลกับศักยภาพในการบริหารประเทศของผู้นำ

โดยสรุปนั้น ยิ่งกษัตริย์มี 'เลือดบริสุทธิ์' (มียีนเดียวกับบรรพบุรุษ) มากเท่าไหร่ ผู้คนในประเทศนั้นยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงสภาพสังคมที่เลวร้ายอันเป็นผลมาจากศักยภาพในการบริหารประเทศที่อ่อนด้อยจากพันธุกรรมที่แย่ลง

อ้างอิง; The Economist, UCLA, Britannica